กทม.25ม.ค.-สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ วอนหน่วยงานต่างๆ ดูแลการงดปล่อยควันจากโรงงาน งดเผา ตรวจควันดำรถ ในช่วงนี้อย่างจริงจัง
กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “วิกฤตการณ์ฝุ่นเกินค่า…ต้องฝ่าไปด้วยกัน” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,180 คน พบว่า จากสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานในประเทศไทยขณะนี้ประชาชนร้อยละ 33.5 ระบุว่าได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ โดยร้อยละ 33.3 ระบุว่ามีอาการไอ จาม มีน้ำมูก รองลงมาร้อยละ32.4 ระบุว่ามีอาการหายใจไม่สะดวก/หายใจได้ไม่เต็มปอด และร้อยละ 18.2 ระบุว่ามีอาการแสบตา ตาอักเสบ ตาแดง
ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 51.5 เลือกวิธีป้องกันตนเองโดยการสวมหน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ รองลงมาร้อยละ 30.3 ระบุว่าเลี่ยงเดินทางที่มีจราจรคับคั่ง/ไม่ออกนอกบ้านถ้าไม่จำเป็น และ ร้อยละ 12.6 ระบุว่างดกิจกรรม/การออกกำลังกายในที่โล่งแจ้ง
ส่วนความเห็นที่มีต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ควรมีมาตรการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ฝุ่นPM2.5 ในช่วงเร่งด่วนนี้อย่างไร ส่วนใหญ่ร้อยละ 57.6 ระบุว่า ควรงดปล่อยควันจากโรงงาน/การเผา/รถควันดำในช่วงนี้อย่างจริงจัง รองลงมาร้อยละ 54.1ระบุว่าควรแจกอุปกรณ์ป้องกันฝุ่น โดยไม่มีค่าใช้จ่ายกระจายทุกพื้นที่และร้อยละ 53.6 ระบุว่าควรตั้งหน่วยเฉพาะกิจมาบริหารจัดการ แก้ปัญหาฝุ่นอย่างเร่งด่วนและมีอำนาจสั่งการจริงจัง
สำหรับความเชื่อมั่นต่อมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นPM2.5ของรัฐบาลว่าจะช่วยแก้ปัญหาฝุ่นในระยะ 2-3 เดือนนี้ได้ พบว่ามาตรการที่ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 79.7 เชื่อมั่นว่าจะสามารถช่วยแก้ปัญหาฝุ่นPM 2.5 ในช่วงนี้ได้คือ สร้างการรับรู้และเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละออง รองลงมาร้อยละ 60.2 คือมาตรการสนับสนุนการจัดโครงการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสำหรับรถยนต์ดีเซลที่มีอายุเกิน 5ปีเพื่อช่วยลดฝุ่นละอองและร้อยละ 55.8 คือมาตรการตรวจสอบโรงงานที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองหากเกินมาตรฐานให้สั่งปรับปรุงแก้ไขหรือสั่งหยุดกิจการ .-สำนักข่าวไทย