“ผู้เฒ่าไร้รัฐไร้สัญชาติ” ปัญหาและความหวังการได้เป็น “พลเมืองไทย”

(เรื่องโดย ศิริพร กิจประกอบ : ผู้สื่อข่าวกองข่าวเฉพาะกิจ สำนักข่าวไทย) 


“ก่อนหน้านี้ คิดว่าต้องตายแบบสูญเปล่า ตายแบบไม่มีสัญชาติ ถูกเหยียดว่าเป็นต่างด้าวไปตลอดชีวิต  แต่มาวันนี้ดีใจมากที่ได้บัตรประชาชน ได้เป็นคนไทยเต็มตัว ถึงตายก็ตายตาหลับแล้ว” ... “โซซูน เบก่ากู่”  ผู้เฒ่าวัย 65 ปี  เล่าให้ฟังเป็นภาษาอาข่า บนใบหน้าเปื้อนยิ้ม เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจเหมือนได้ของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิต  ตอนนี้เธอมีศักดิ์และสิทธิ์ได้รับสวัสดิการต่างๆเทียบเท่ากับคนไทยทั่วไป  และยังมีโอกาสได้เดินทางไปเยี่ยมญาติที่ประเทศจีนมาแล้วถึง 2 ครั้ง  โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกทางการจับกุม

“จางจ้า เบก่ากู่” ผู้เฒ่าชาติพันธุ์อาข่าวัย 84 ปี อีกคน ก็ดีใจไม่แพ้กัน โชว์บัตรประชาชนไทย และเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่เพิ่งได้รับมาเป็นเดือนที่4  เธอบอกว่าหลังได้สัญชาติไทย ทำให้อุ่นใจและรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เจ็บป่วยก็กล้าไปหาหมอ ไม่ต้องซื้อยากินเอง และไม่ต้องเป็นภาระลูกหลานเหมือนเมื่อที่ผ่านมา


นอกจากผู้เฒ่าทั้งสองคนนี้แล้ว ยังมีผู้เฒ่าชาติพันธุ์อาข่าอีก 13 คน ของหมู่บ้านกิ่วสะไต อ.แม่จัน จ.เชียงราย ที่ได้รับการพัฒนาสถานะบุคคลจนได้สัญชาติไทยและมีบัตรประชาชน หลังจากที่รอคอยมายาวนานจนผู้เฒ่าบางคนในหมู่บ้านเสียชีวิตไปก่อนแล้ว  ทั้งที่พวกเขาเป็น “ชาวเขาติดแผ่นดิน” ที่เกิดและอยู่ในเมืองไทยมาเนิ่นนาน  ลูกและหลานต่างก็ได้สัญชาติไทยกันไปหมดแล้ว 

ผู้เฒ่าบ้านกิ่วสะไต  เป็นตัวอย่างที่มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ช่วยผลักดันพัฒนาสิทธิจากการทำนโยบายพิเศษ(fast track) รวบรวมข้อมูลหลักฐานการอยู่ในพื้นที่ โดยอิงตามเอกสารสำรวจของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาและเอกสารอื่นๆ  จนได้รับสัญชาติไทยและได้บัตรประชาชนภายใน 7 เดือน สำเร็จเป็นพื้นที่แรก  แต่ก็ยังมีผู้เฒ่าไร้สัญชาติอีกหลายกลุ่ม ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือต้องอยู่ในสถานะไร้รัฐไร้สัญชาติ  

เดินทางไปอีกไม่ไกล ในพื้นที่อำเภอเดียวกัน ที่บ้านเฮโก  ต.ป่าตึง ยังมีผู้เฒ่าชาติพันธุ์ลีซู “ชาวเขาติดแผ่นดิน” อีกกลุ่ม ที่ลูกหลานของพวกเขาล้วนได้บัตรประชาชนไทยหมดแล้ว แต่ผู้เฒ่าหลายคนกลับตกหล่น แม้จะมีหลักฐานและพยานบ่งชี้ว่าพวกเขาเกิดและอาศัยอยู่ในเมืองไทยมาหลายสิบปี ตามที่ระบุในการสำรวจของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา  แต่หน่วยงานทางการที่เข้ามาสำรวจในภายหลังกลับระบุว่าพวกเขาเกิดในพม่า ปัญหาเอกสารการสำรวจที่ขัดกัน  จึงทำให้ผู้เฒ่าที่นี่ยังไม่ได้รับการพัฒนาสิทธิ  


“เป็นผู้นำชุมชนแต่กลับถูกเรียกว่า“ต่างด้าว” เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด ทั้งที่เราก็มีหลักฐานชัดเจนว่าเกิดและอยู่อาศัยในไทยมานาน แต่ทางการไม่ยอมออกบัตรประชาชนไทยให้”

“อาเหล่ งัวยา” อายุ 81 ปี หนึ่งในผู้เฒ่าบ้านเฮโก ตัดพ้อด้วยความน้อยใจ ยืนยันตัวเองเกิดที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และย้ายมาอยู่ที่บ้านเฮโกนานแล้ว เขาเป็นผู้นำสอนศาสนา ดูแลวัฒนธรรมประเพณีของชาติพันธุ์ลีซู คนในหมู่บ้านต่างนับถือ  การอยู่ในสถานะไร้สัญชาติ นอกจากไม่ได้รับสวัสดิการจากภาครัฐแล้ว การจะของบประมาณมาจัดกิจกรรมพัฒนาชุมชนก็ไม่สามารถทำได้

ไม่เพียงแต่กลุ่ม “ชาวเขาติดแผ่นดิน” เท่านั้น ที่ต้องเผชิญกับความล่าช้าในการพัฒนาสิทธิ   ผู้เฒ่าชาติพันธุ์อาข่าอีก 28 คน ที่บ้านป่าคาสุขใจ อำเภอแม่ฟ้าหลวง ซึ่งอาศัยอยู่ในไทยมานานกว่า 50 ปี ถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และใบสำคัญถิ่นที่อยู่  มีคุณสมบัติครบและยื่นเอกสารขอแปลงสัญชาติไปกว่า 3 ปีแล้ว ก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาสิทธิเช่นกัน ทั้งที่กฎหมายระบุว่าต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน

“ครูแดง” นางเตือนใจ ดีเทศน์ ที่ปรึกษาและผู้ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา ซึ่งทำงานช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคเหนือมากว่า 40 ปี  บอกว่า ผู้เฒ่าไร้รัฐไร้สัญชาติ เป็นกลุ่มเปราะบางที่สุดในสังคม เนื่องจากศักยภาพทางร่างกายเสื่อมลง  ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เดินทางไปติดต่อราชการลำบาก ไม่มีความรู้เรื่องข้อกฎหมายและระเบียบปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ อีกทั้งตัวผู้เฒ่าเอง รวมถึงลูกหลาน และเจ้าหน้าที่รัฐ มักคิดว่า“แก่แล้ว อยู่แต่ในหมู่บ้าน พูดภาษาไทยไม่ได้ ไม่ต้องมีบัตรก็ได้” อีกทั้งยังมีอุปสรรคที่มาจากผู้นำชุมชนไม่ได้ใช้กฎหมายทำงาน และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีภาระงานเยอะ ไม่รู้กฎหมายคนไร้รัฐไร้สัญชาติซึ่งมีความซับซ้อน  จึงไม่กล้า เกรงทำผิด และทัศนคติที่ยังมองว่าคนกลุ่มนี้ ไม่ใช่คนไทย

เจ้าหน้าที่บางส่วนมักคิดว่า เอาไว้ทีหลังทำงานอื่นๆก่อน คนพวกนี้ไม่ใช่คนไทย และการเรียกรับผลประโยชน์ เนื่องจากปริมาณงานมีมาก เจ้าของปัญหาก็มีมาก เช่นในพื้นที่อำเภอชายแดนทั้งหลาย บางอำเภอมีเป้าหมาย30,000-50,000คน ขณะที่เจ้าหน้าที่มีเพียงไม่กี่คน นี่คือสภาพปัญหาที่น่าเป็นห่วง”   “ครูแดง”สะท้อนถึงปัญหาที่ยังสั่งสมอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

ขณะที่ ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสนุทร นักวิชาการคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า กระทรวงมหาดไทยควรสำรวจจำนวนผู้เฒ่าไร้รัฐไร้สัญชาติและปัญหาที่ประสบอยู่ จะได้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของความล่าช้าในการแปลงสัญชาติ  เพราะกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ครอบคลุมเพียงพอแล้ว  อีกทั้งควรปรับปรุงกฎหมายเพื่อการแปลงสัญชาติให้แก่ชาวเขาและชนกลุ่มน้อย ที่อยู่อาศัยในไทยมานานจนกลมกลืนกับสังคมไทยด้วยเช่นกัน

ปัญหาการรับรองสัญชาติไทยสำหรับ “ชาวเขาติดแผ่นดิน” ตามระเบียบ43 คือ ผู้ที่เกิดในไทยระหว่างวันที่ 10 เม.ย.2456 – วันที่ 13ธ.ค.2515 ให้สันนิษฐานว่ามีสัญชาติไทย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้เป็นอย่างอื่น คณะทำงานมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา และภาคีเครือข่าย เสนอว่าจำเป็นต้องมีนโยบายพิเศษ(Fast Track) เข้ามาช่วยเหลือ เช่น เปลี่ยนหลักเกณฑ์การแปลงสัญชาติของผู้เฒ่าจาก 65 ปี มาเป็น 60 ปี ตามพรบ.ผู้สูงอายุ การทดสอบความรู้ภาษาไทย ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประเทศไทย และร้องเพลงชาติ ควรมีการอนุโลมตามสรรพร่างกายและบริบทพื้นที่ของผู้สูงอายุแต่ละคน กำหนดให้ถือใบสำคัญต่างด้าว 5 ปี และต้องพิสูจน์ว่าอยู่ในไทย20 ปี หลักฐานการอยู่ในไทยไม่ควรกำจัดในเรื่องการถือใบถิ่นที่อยู่ เพราะมีจำนวนมากที่อาศัยกลมกลืนกับสังคมไทยมาไม่น้อยกว่า 40 ปี ส่วนการกำหนดให้ตรวจประวัติอาชญากรรม ควรปรับให้มีขั้นตอนที่ซับซ้อนน้อยลง

ทั้งนี้ประเทศไทยได้ให้คำมั่นกับ UNHCR ในการประชุมที่นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2562 ว่าการแก้ปัญหาผู้เฒ่าไร้รัฐไร้สัญชาติจะเป็นนโยบายที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญ  นี่จึงเป็นอีกความหวังที่ผู้เฒ่าไร้รัฐไร้สัญชาติจะได้รับการพัฒนาสิทธิให้มีสัญชาติไทย  ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการได้รับสิทธิด้านต่างๆ ในฐานะพลเมืองไทย เช่น สิทธิความเป็นพลเมือง สิทธิทางการเมือง สิทธิในการทำงาน  สิทธิการเดินทาง และสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ  ที่สำคัญผู้เฒ่าเหล่านี้จะไม่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังเหมือนที่ผ่านมา .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“สุชาติ” จ่อลาออก สส. ให้สภามี สส.ทำงาน

ทำเนียบ 7 ก.ค.-“สุชาติ” เผยเตรียมลาออก สส. เพื่อให้บัญชีรายชื่อลำดับถัดไปได้ขึ้นมา มองให้สภามี สส.ทำงาน นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงธรรมเนียมปฏิบัติของคนที่เป็น สส.ระบบบัญชีรายชื่อ จะลาออกเมื่อเป็นรัฐมนตรี หรือไม่ว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการลาออกแต่โดยธรรมเนียมก็ควรจะลาออก เพราะการทำหน้าที่ของรัฐมนตรีก็เต็มเวลาอยู่แล้ว ไม่มีเวลาที่จะไปช่วยงานสภา ซึ่งขณะนี้สภาเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งตนมีความตั้งใจที่จะลาออกจาก สส ระบบบัญชีรายชื่ออยู่แล้ว เพื่อให้ สส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับถัดไปได้เลื่อนขึ้นมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สส. ลำดับถัดไปที่จะขึ้นมาเป็น สส.แทนนายสุชาติ คือ นายเอกพร รักความสุข บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 38.-316.-สำนักข่าวไทย

พม.ร้องเอาผิด “จอนนี่ มือปราบ” สร้างรีสอร์ทรุกล้ำที่ส่วนกลาง

บก.ปทส. 7 ก.ค. – จนท.กรมพัฒนาสังคมฯ ร้องตำรวจป่าไม้ตรวจสอบปมรีสอร์ทของ “จอนนี่มือปราบ” อินฟลูชื่อดัง บุกรุกพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย ในอุบลราชธานี และถูกข่มขู่ไม่ให้เข้าพื้นที่ นายวัชระ โกเสนตอ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ ได้รับมอบอำนาจจากนายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำหลักฐานเอกสารเข้าแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. เพื่อให้ดำเนินคดีกับ ด.ต.ยุทธพล หรือ “จอนนี่ มือปราบ” อดีตตำรวจที่ผันตัวลาออกจากราชการมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ กรณีสร้างรีสอร์ทรุกเข้าไปในเขตนิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย ตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี นายวัชระ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาสังคมฯ รับแจ้งจากนิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย ว่ามีผู้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของนิคมโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยส่วนที่รุกล้ำเข้ามาเป็นพื้นที่ที่นิคมกันไว้เป็นป่าไม้ส่วนกลาง 20% รุกล้ำเข้ามาประมาณ 1 ไร่ และเริ่มก่อสร้างรีสอร์ทเมื่อปี 2564 เป็นต้นมา และทางกรมฯ ก็ได้ลงบันทึกประจำวันและมีหนังสือให้ระงับการดำเนินการรีสอร์ทมาตั้งแต่ปี 2565 แต่เจ้าของรีสอร์ทไม่ให้ความร่วมมือ และยังมาโวยวายที่นิคมฯ ข่มขู่เจ้าหน้าที่ ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปที่รีสอร์ท ทั้งนี้นิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย มีพื้นที่ตามแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองฯ ชัดเจน เนื้อที่ […]

Camp Mystic after Texas floods

เปิดภาพความเสียหายน้ำท่วมแคมป์ในเท็กซัส

เท็กซัส 6 ก.ค.- ทีมกู้ภัย อาสาสมัครและตำรวจ ช่วยกันรื้อถอนเศษซากความเสียหายและซากต้นไม้กิ่งไม้ใกล้ที่ตั้งแคมป์ในรัฐเท็กซัสของสหรัฐ ซึ่งมีนักเรียนหญิง 27 คน สูญหายจากเหตุน้ำท่วมฉับพลันที่เกิดขึ้นเมื่อเช้ามืดวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น   ค่ายมิสติก (Camp Mystic) เป็นค่ายกิจกรรมนักเรียนหญิงล้วน มีนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมในค่าย 700 คน ในช่วงที่เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันครั้งใหญ่ในเทศมณฑลเคอร์ ทางตอนกลางของรัฐเท็กซัส แคมป์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกัวดาลูปในแถบหุบเขาตอนกลางรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่เกิดน้ำท่วม ก่อตั้งโดยโค้ชฟุตบอลมหาวิทยาลัยเท็กซัส เมื่อเกือบหนึ่งร้อยปีก่อนในปี 2469 เพื่อให้เยาวชนหญิงได้สัมผัสบรรยากาศแบบคริสเตียนในการพัฒนาตนเอง.-820(814).-สำนักข่าวไทย

กรมอุตุฯ เตือน 4 ภาครับมือฝนถล่ม ระวังน้ำท่วม-น้ำป่าไหลหลาก

กทม. 6 ก.ค.- กรมอุตุฯ เผยประเทศไทยยังมีฝนฟ้าคะนอง เตือน “เหนือ อีสาน ตะวันออก ใต้” รับมือฝนตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยาเผยภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเมียนมาตอนบนและลาวตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง พายุโซนร้อน “ดานัส” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ไต้หวัน ในช่วงวันที่ 6–7 กรกฎาคม 2568 โดยไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย แต่จะทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

เตือนฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

กทม. 13 ก.ค.-กรมอุตุฯ เตือนฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะภาคเหนือ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พะเยา น่าน หนองคาย และบึงกาฬ ระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศฉบับที่ 6 เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทยและคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามันตอนบน (มีผลกระทบในช่วงวันที่ 12-13 กรกฎาคม 2568) ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งโดยเฉพาะภาคเหนือบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พะเยา น่าน หนองคาย และบึงกาฬ เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมาตอนบน ภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคเหนือตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเส้นทางที่มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมขังในระยะสั้นได้ จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก มีดังนี้ ในวันที่ 13 กรกฎาคม […]

ผบ.กองกำลังนเรศวร ลงพื้นที่ หลังเมียนมาปะทะรุนแรง

ตาก 12 ก.ค. – ผบ.กองกำลังนเรศวร ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ด่วน พร้อมเฝ้าระวังชายแดนอำเภอพบพระอย่างใกล้ชิด หลังเหตุปะทะในเมียนมาทวีความรุนแรง มีรายงานการโจมตีค่ายทหารเมียนมาด้วยโดรน กองกำลังกะเหรี่ยงเคเอ็นแอลเอ กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมา ใช้โดรนทิ้งระเบิดโจมตีใส่ฐาน “ทีตาแหล่” ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามบ้านวาเล่ย์เหนือ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก หลายครั้ง ขณะที่ทหารเมียนมาก็ยิงปืนเล็กยาวตอบโต้ โดยยังไม่ทราบความเสียหายที่เกิดขึ้น และยังไม่มีรายงานผลกระทบต่อฝั่งประเทศไทย พลตรีไมตรี ชูปรีชา ผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร พร้อมคณะนายทหารระดับสูง และฝ่ายปกครองอำเภอพบพระ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์บริเวณบ้านวาเล่ย์ และบ้านมอเกอร์ไทย อำเภอพบพระ อย่างใกล้ชิด เพื่อประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคงในการเตรียมแผนเผชิญเหตุจากผลกระทบของการสู้รบใกล้แนวชายแดนในด้านมนุษยธรรม โดยขณะนี้มีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาจำนวน 457 คน อาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว 2 แห่ง ในอำเภอพบพระ และได้รับการดูแลตามหลักมนุษยธรรมภายใต้ความร่วมมือของศูนย์สั่งการชายแดนประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จังหวัดตาก และแนวทางของสภาความมั่นคงแห่งชาติ พลตรี ไมตรี เน้นย้ำให้หน่วยเฉพาะกิจราชมนู ร่วมกับฝ่ายปกครอง เพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยของกองกำลังติดอาวุธต่างชาติ และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกองกำลังนเรศวรยืนยันว่าประเทศไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้ง และไม่สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการใช้พื้นที่ประเทศไทยเพื่อประโยชน์ของตนเอง .-สำนักข่าวไทย

สองสาวใหญ่ย่องเข้ากุฏิพระอาพาธ ฉกมือถือ

กทม. 12 ก.ค. – สองสาวใหญ่ ย่องเข้ากุฏิพระอาพาธ ฉกโทรศัพท์มือถือลอยนวล พบเคยเข้ามาขอเงินหลวงตาแล้วครั้งหนึ่ง กล้องวงจรปิดบันทึกภาพขณะ ผู้หญิง 2 คนเข้าไปในกุฏิที่พระสงฆ์นอนอาพาธอยู่ คนหนึ่งนั่งพื้นส่วนอีกคนยืนอยู่แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนเตียงนอนไป เหตุการณ์นี้ นายมนูญ อายุ 29 ปี หลานชายของพระลูกวัดแห่งหนึ่ง ในซอยประชาอุทิศ 27 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว ให้ช่วยตามหาสองสาวใหญ่ ย่องเข้ากุฏิ “หลวงตาสุข” อายุ 80 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคประจำตัว ประกอบกับอายุมากเดินได้ไม่ปกติ โดยหลวงตาสุข เป็นพระลูกวัด พักอยู่กุฏิด้านหลังโบสถ์ เมื่อวานนี้ (11 ก.ค.) ประมาณ 13.45 น. ขณะกำลังนอนพักผ่อนอยู่ มีหญิงร่างท้วม 2 คนเข้าไปในกุฏิ จากนั้นคนใส่เอี๊ยมสีเขียวผมสั้นลงมือค้นหาสิ่งของบนหัวเตียง ส่วนอีกคนที่มาด้วย คอยดูต้นทาง จนกระทั่งหญิงคนที่รื้อหาสิ่งของมองเห็นโทรศัพท์มือถือ ราคาประมาณ 4,000 บาท ของพระที่วางไว้หัวเตียง […]

“บิ๊กเต่า” ให้โอกาสคณะสงฆ์ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง

กทม. 12 ก.ค.-“บิ๊กเต่า” ให้โอกาสคณะสงฆ์ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเอี่ยวสีกากอล์ฟ เชื่อพระเป็นเหยื่อ หากไม่เสร็จพร้อมดำเนินการ เผยอดีตพระครูสิริวิริยธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ เข้าให้ข้อมูล เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง วันนี้ (12 ก.ค.) หลังจากอดีตพระครูสิริวิริยธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร เข้าให้ปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ เมื่อเวลา 12.30 น. แต่งกายด้วยชุดโปโลสีเทา กางเกงวอร์มขายาว ผู้สื่อข่าว พยายามสอบถามว่าเข้ามาให้ปากคำกรณีที่ปรากฏอยู่ในคลิปหรือไม่ ทางอดีตผู้ช่วยเจ้าวาสไม่ตอบ เมื่อถามเพิ่มเติมว่า คลิปที่ปรากฏอยู่ตอนนนี้ ใช่ตัวเองจริงหรือไม่ อดีตพระครูสิริวิริยธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร ปิดปากเงียบ ไม่มีการให้ข้อมูลอะไรกับสื่อมวลชน ก่อนที่จะเดินขึ้นไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหน้ากองปราบด้านบน จากนั้นในเวลา 14.00 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยเดินทางขึ้นตึกด้านหลัง ใช้ลิฟต์ลานจอดรถ หลังเดินทางกลับจากวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร โดยหลบผู้สื่อข่าวที่มารออยู่ด้านหน้า และได้สอบปากคำอดีตพระครูสิริวิริยธาดา ในเวลา 16.20 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ให้สัมภาษณ์ว่าการหารือกับพระผู้ใหญ่ในวันนี้ ก็ถือเป็นการทำงานร่วมกันกับ ปปท. ซึ่งมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ […]