“ผู้เฒ่าไร้รัฐไร้สัญชาติ” ปัญหาและความหวังการได้เป็น “พลเมืองไทย”

(เรื่องโดย ศิริพร กิจประกอบ : ผู้สื่อข่าวกองข่าวเฉพาะกิจ สำนักข่าวไทย) 


“ก่อนหน้านี้ คิดว่าต้องตายแบบสูญเปล่า ตายแบบไม่มีสัญชาติ ถูกเหยียดว่าเป็นต่างด้าวไปตลอดชีวิต  แต่มาวันนี้ดีใจมากที่ได้บัตรประชาชน ได้เป็นคนไทยเต็มตัว ถึงตายก็ตายตาหลับแล้ว” ... “โซซูน เบก่ากู่”  ผู้เฒ่าวัย 65 ปี  เล่าให้ฟังเป็นภาษาอาข่า บนใบหน้าเปื้อนยิ้ม เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจเหมือนได้ของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิต  ตอนนี้เธอมีศักดิ์และสิทธิ์ได้รับสวัสดิการต่างๆเทียบเท่ากับคนไทยทั่วไป  และยังมีโอกาสได้เดินทางไปเยี่ยมญาติที่ประเทศจีนมาแล้วถึง 2 ครั้ง  โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกทางการจับกุม

“จางจ้า เบก่ากู่” ผู้เฒ่าชาติพันธุ์อาข่าวัย 84 ปี อีกคน ก็ดีใจไม่แพ้กัน โชว์บัตรประชาชนไทย และเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่เพิ่งได้รับมาเป็นเดือนที่4  เธอบอกว่าหลังได้สัญชาติไทย ทำให้อุ่นใจและรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เจ็บป่วยก็กล้าไปหาหมอ ไม่ต้องซื้อยากินเอง และไม่ต้องเป็นภาระลูกหลานเหมือนเมื่อที่ผ่านมา


นอกจากผู้เฒ่าทั้งสองคนนี้แล้ว ยังมีผู้เฒ่าชาติพันธุ์อาข่าอีก 13 คน ของหมู่บ้านกิ่วสะไต อ.แม่จัน จ.เชียงราย ที่ได้รับการพัฒนาสถานะบุคคลจนได้สัญชาติไทยและมีบัตรประชาชน หลังจากที่รอคอยมายาวนานจนผู้เฒ่าบางคนในหมู่บ้านเสียชีวิตไปก่อนแล้ว  ทั้งที่พวกเขาเป็น “ชาวเขาติดแผ่นดิน” ที่เกิดและอยู่ในเมืองไทยมาเนิ่นนาน  ลูกและหลานต่างก็ได้สัญชาติไทยกันไปหมดแล้ว 

ผู้เฒ่าบ้านกิ่วสะไต  เป็นตัวอย่างที่มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ช่วยผลักดันพัฒนาสิทธิจากการทำนโยบายพิเศษ(fast track) รวบรวมข้อมูลหลักฐานการอยู่ในพื้นที่ โดยอิงตามเอกสารสำรวจของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาและเอกสารอื่นๆ  จนได้รับสัญชาติไทยและได้บัตรประชาชนภายใน 7 เดือน สำเร็จเป็นพื้นที่แรก  แต่ก็ยังมีผู้เฒ่าไร้สัญชาติอีกหลายกลุ่ม ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือต้องอยู่ในสถานะไร้รัฐไร้สัญชาติ  

เดินทางไปอีกไม่ไกล ในพื้นที่อำเภอเดียวกัน ที่บ้านเฮโก  ต.ป่าตึง ยังมีผู้เฒ่าชาติพันธุ์ลีซู “ชาวเขาติดแผ่นดิน” อีกกลุ่ม ที่ลูกหลานของพวกเขาล้วนได้บัตรประชาชนไทยหมดแล้ว แต่ผู้เฒ่าหลายคนกลับตกหล่น แม้จะมีหลักฐานและพยานบ่งชี้ว่าพวกเขาเกิดและอาศัยอยู่ในเมืองไทยมาหลายสิบปี ตามที่ระบุในการสำรวจของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา  แต่หน่วยงานทางการที่เข้ามาสำรวจในภายหลังกลับระบุว่าพวกเขาเกิดในพม่า ปัญหาเอกสารการสำรวจที่ขัดกัน  จึงทำให้ผู้เฒ่าที่นี่ยังไม่ได้รับการพัฒนาสิทธิ  


“เป็นผู้นำชุมชนแต่กลับถูกเรียกว่า“ต่างด้าว” เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด ทั้งที่เราก็มีหลักฐานชัดเจนว่าเกิดและอยู่อาศัยในไทยมานาน แต่ทางการไม่ยอมออกบัตรประชาชนไทยให้”

“อาเหล่ งัวยา” อายุ 81 ปี หนึ่งในผู้เฒ่าบ้านเฮโก ตัดพ้อด้วยความน้อยใจ ยืนยันตัวเองเกิดที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และย้ายมาอยู่ที่บ้านเฮโกนานแล้ว เขาเป็นผู้นำสอนศาสนา ดูแลวัฒนธรรมประเพณีของชาติพันธุ์ลีซู คนในหมู่บ้านต่างนับถือ  การอยู่ในสถานะไร้สัญชาติ นอกจากไม่ได้รับสวัสดิการจากภาครัฐแล้ว การจะของบประมาณมาจัดกิจกรรมพัฒนาชุมชนก็ไม่สามารถทำได้

ไม่เพียงแต่กลุ่ม “ชาวเขาติดแผ่นดิน” เท่านั้น ที่ต้องเผชิญกับความล่าช้าในการพัฒนาสิทธิ   ผู้เฒ่าชาติพันธุ์อาข่าอีก 28 คน ที่บ้านป่าคาสุขใจ อำเภอแม่ฟ้าหลวง ซึ่งอาศัยอยู่ในไทยมานานกว่า 50 ปี ถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และใบสำคัญถิ่นที่อยู่  มีคุณสมบัติครบและยื่นเอกสารขอแปลงสัญชาติไปกว่า 3 ปีแล้ว ก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาสิทธิเช่นกัน ทั้งที่กฎหมายระบุว่าต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน

“ครูแดง” นางเตือนใจ ดีเทศน์ ที่ปรึกษาและผู้ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา ซึ่งทำงานช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคเหนือมากว่า 40 ปี  บอกว่า ผู้เฒ่าไร้รัฐไร้สัญชาติ เป็นกลุ่มเปราะบางที่สุดในสังคม เนื่องจากศักยภาพทางร่างกายเสื่อมลง  ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เดินทางไปติดต่อราชการลำบาก ไม่มีความรู้เรื่องข้อกฎหมายและระเบียบปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ อีกทั้งตัวผู้เฒ่าเอง รวมถึงลูกหลาน และเจ้าหน้าที่รัฐ มักคิดว่า“แก่แล้ว อยู่แต่ในหมู่บ้าน พูดภาษาไทยไม่ได้ ไม่ต้องมีบัตรก็ได้” อีกทั้งยังมีอุปสรรคที่มาจากผู้นำชุมชนไม่ได้ใช้กฎหมายทำงาน และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีภาระงานเยอะ ไม่รู้กฎหมายคนไร้รัฐไร้สัญชาติซึ่งมีความซับซ้อน  จึงไม่กล้า เกรงทำผิด และทัศนคติที่ยังมองว่าคนกลุ่มนี้ ไม่ใช่คนไทย

เจ้าหน้าที่บางส่วนมักคิดว่า เอาไว้ทีหลังทำงานอื่นๆก่อน คนพวกนี้ไม่ใช่คนไทย และการเรียกรับผลประโยชน์ เนื่องจากปริมาณงานมีมาก เจ้าของปัญหาก็มีมาก เช่นในพื้นที่อำเภอชายแดนทั้งหลาย บางอำเภอมีเป้าหมาย30,000-50,000คน ขณะที่เจ้าหน้าที่มีเพียงไม่กี่คน นี่คือสภาพปัญหาที่น่าเป็นห่วง”   “ครูแดง”สะท้อนถึงปัญหาที่ยังสั่งสมอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

ขณะที่ ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสนุทร นักวิชาการคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า กระทรวงมหาดไทยควรสำรวจจำนวนผู้เฒ่าไร้รัฐไร้สัญชาติและปัญหาที่ประสบอยู่ จะได้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของความล่าช้าในการแปลงสัญชาติ  เพราะกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ครอบคลุมเพียงพอแล้ว  อีกทั้งควรปรับปรุงกฎหมายเพื่อการแปลงสัญชาติให้แก่ชาวเขาและชนกลุ่มน้อย ที่อยู่อาศัยในไทยมานานจนกลมกลืนกับสังคมไทยด้วยเช่นกัน

ปัญหาการรับรองสัญชาติไทยสำหรับ “ชาวเขาติดแผ่นดิน” ตามระเบียบ43 คือ ผู้ที่เกิดในไทยระหว่างวันที่ 10 เม.ย.2456 – วันที่ 13ธ.ค.2515 ให้สันนิษฐานว่ามีสัญชาติไทย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้เป็นอย่างอื่น คณะทำงานมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา และภาคีเครือข่าย เสนอว่าจำเป็นต้องมีนโยบายพิเศษ(Fast Track) เข้ามาช่วยเหลือ เช่น เปลี่ยนหลักเกณฑ์การแปลงสัญชาติของผู้เฒ่าจาก 65 ปี มาเป็น 60 ปี ตามพรบ.ผู้สูงอายุ การทดสอบความรู้ภาษาไทย ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประเทศไทย และร้องเพลงชาติ ควรมีการอนุโลมตามสรรพร่างกายและบริบทพื้นที่ของผู้สูงอายุแต่ละคน กำหนดให้ถือใบสำคัญต่างด้าว 5 ปี และต้องพิสูจน์ว่าอยู่ในไทย20 ปี หลักฐานการอยู่ในไทยไม่ควรกำจัดในเรื่องการถือใบถิ่นที่อยู่ เพราะมีจำนวนมากที่อาศัยกลมกลืนกับสังคมไทยมาไม่น้อยกว่า 40 ปี ส่วนการกำหนดให้ตรวจประวัติอาชญากรรม ควรปรับให้มีขั้นตอนที่ซับซ้อนน้อยลง

ทั้งนี้ประเทศไทยได้ให้คำมั่นกับ UNHCR ในการประชุมที่นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2562 ว่าการแก้ปัญหาผู้เฒ่าไร้รัฐไร้สัญชาติจะเป็นนโยบายที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญ  นี่จึงเป็นอีกความหวังที่ผู้เฒ่าไร้รัฐไร้สัญชาติจะได้รับการพัฒนาสิทธิให้มีสัญชาติไทย  ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการได้รับสิทธิด้านต่างๆ ในฐานะพลเมืองไทย เช่น สิทธิความเป็นพลเมือง สิทธิทางการเมือง สิทธิในการทำงาน  สิทธิการเดินทาง และสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ  ที่สำคัญผู้เฒ่าเหล่านี้จะไม่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังเหมือนที่ผ่านมา .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พบแล้วบ้าน “พระอลงกต” ที่ขอนแก่น ชาวบ้านเผยเป็นคนใจดี

ขอนแก่น 25 ส.ค. – พบแล้วบ้านของ “พระอลงกต” ใน อ.เมือง จ.ขอนแก่น ตรวจสอบพบเป็นบ้านพักข้าราชการของกรมทางหลวง ชาวบ้านเผย “พระอลงกต” เป็นคนใจดี กลับมาแจกเงินทุกปี พอเห็นข่าวรู้สึกตกใจและสงสาร เพราะเที่เคยสัมผัสเป็นคนใจดี ทีมข่าวตรวจสอบข้อมูลเพื่อตามหาบ้านของพระอลงกต รู้ว่าเป็นคน จ.ขอนแก่น ตั้งแต่กำเนิด สืบค้นที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน พบระบุว่าบ้านเกิดของหลวงพ่ออลงกต อยู่ใน อ.เมือง จ.ขอนแก่น ตรวจสอบพบว่าเป็นบ้านพักข้าราชการของกรมทางหลวง และไปพบบ้านของพ่อเฉย พ่อของพระอลงกต ซึ่งทุกคนไม่ได้เรียกว่าพระอลงกต แต่จะคุ้นเคยเรียกกันว่าพระจอร์จ และนิสัยของพระพระอลงกตมีแต่เรื่องราวดีๆ มอบให้กับสังคม พระอลงกตจะแวะเวียนมาบอกบุญเสมอปีละครั้ง ในช่วงวันเกิดที่โรงเรียนแก่นนคร ที่พระอลงกตเคยศึกษา อย่างช่วงที่พ่อเฉย พ่อของพระอลงกต ยังมีชีวิต พ่อเฉยจะทำว่าวให้เด็กๆ ละแวกนี้เล่น เป็นที่รักของคนในชุมชนเช่นกัน พี่สาวของพระอลงกต ขายข้าวแกงอยู่ตรงข้ามบ้านพักข้าราชการ ซึ่งบ้านของครอบครัวพระอลงกต จะอยู่ติดกับรั้วของสำนักงานทางหลวง แต่พอครอบครัวพระอลงกตเกษียณก็พากันย้ายออกไปอยู่ที่อื่น บ้านพักปัจจุบันนี้ไม่มีใครอยู่ และบ้านส่วนตัวก็ไม่มีใครอยู่อาศัยเช่นกัน พระอลงกตออกจากบ้านไปช่วงปี 2527 แต่พระอลงกตจะกลับมาที่บ้านส่วนตัวทุกปี หลังจากเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ เพื่อมาทำบุญวันเกิดโรงเรียนแก่นนคร มอบทุนการศึกษาให้กับเด็กๆ เสมอ […]

ตำรวจแจ้งข้อหาเมาแล้วขับ “มารี เบรินเนอร์”

กทม. 24 ส.ค.-ตำรวจแจ้งข้อหาเมาแล้วขับ “มารี เบรินเนอร์” ขับรถหรูเจอด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์แล้วไม่ยอมเป่า ส่วนเพื่อนชายที่มาด้วยโวยวายและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ คาดน่าจะเกิดจากมึนเมา กรณีนักแสดงสาว “มารี เบรินเนอร์” ขับรถหรูเจอด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์แล้วไม่ยอมเป่าวัด ส่วนเพื่อนชายที่มาด้วยได้ลงจากรถมาโวยวายขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ทาง พ.ต.อ.เจษฎา ยางนอก ผกก.สน.วังทองหลาง เผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ตำรวจ สน.วังทองหลาง ได้ตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ ที่ถนนประดิษฐ์มนูธรรม ช่วงเวลาประมาณ 02.00-04.00 น. ได้ขอตรวจรถยนต์ยี่ห้อปอร์เช่ สีเขียว ปรากฏว่ามี น.ส.มารี เบรินเนอร์ นักแสดงสาว เป็นผู้ขับขี่ และมีนายอัศม์กรณ์ โดยสารมาด้วย ซึ่งนั่งข้างหน้า และมีผู้หญิงมาด้วยอีก 2 คน เมื่อขอตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ นายอัศม์กรณ์ กลับโวยวาย ขัดขวางไม่ให้ตรวจ และมีการด่าทอด้วยคำที่หยาบคาย แต่ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ ในที่สุดตำรวจได้คุมตัวทั้งหมดมายัง สน.วังทองหลาง พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหาเมาแล้วขับ กับนางสาวมารี เนื่องจากนางสาวมารี ไม่ยินยอมเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ จากนั้นนางสาวมารี ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 20,000 บาท […]

“คาจิกิ” ทวีกำลังเป็นพายุไต้ฝุ่น ส่งผลให้ไทยฝนตกเพิ่มทุกภาค

กรุงเทพฯ 24 ส.ค.- กรมอุตุฯ ออกประกาศระบุ ช่วงเช้าที่ผ่านมา พายุโซนร้อน “คาจิกิ” ในทะเลจีนใต้ ได้ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่น เตือน 57 จังหวัด เฝ้าระวังฝนตกหนักถึงหนักมาก ตั้งแต่วันที่ 24-27 ส.ค.68 นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า พายุโซนร้อน “คาจิกิ” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่น “กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย และมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย ก่อนจะขึ้นฝั่งตอนบนของ ประเทศเวียดนาม และ สปป.ลาว ในช่วงวันที่ 25–26 สิงหาคมนี้ ขอบด้านหน้าของพายุ เริ่มส่งผลกระทบต่อไทยตั้งแต่วันนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีเมฆฝนเพิ่มขึ้น จากนั้นจะมีฝนตก ก่อนขยายไปยังภาคกลาง รวมทั้ง กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ ในช่วงวันถัดไป กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนว่า อิทธิพลของพายุ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่มีกำลังแรง จะทำให้มีฝนตกเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะ […]

“จิรายุ” ย้ำคลิป “นั่งลงลูก” ในห้องพิจารณาคดี เป็นคลิปตกแต่งเสียง

ทำเนียบ 24 ส.ค.-“จิรายุ” ย้ำคลิป “นั่งลงลูก” ในห้องพิจารณาคดีศาล รธน. ที่ “ชวน” ได้ยินเป็นคลิปตกแต่งเสียง ฟังกี่รอบก็ชัดว่า “นั่งลงครับ” เตือนประชาชนบิดเบือนข้อมูลใส่ร้าย อย่าโพสต์ ไม่ชัวร์ อย่าแชร์ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี อดีตประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการฯ กล่าวถึง กรณีมีการบิดเบือนคำพูดในวันสืบพยานของนายกรัฐมนตรี โดยหลังจากนายกรัฐมนตรีกล่าวคำสาบานตนแล้ว ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่งได้กล่าวคำว่า “นั่งลงครับ” แต่กลับมีกระบวนการนำไปบิดเบือนและตกแต่งเสียง โดยกล่าวหาว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพูดว่า “นั่งลงลูก“ ซึ่งเป็นการบิดเบือน ขณะเดียวกัน ยังพบว่าอดีตประธานรัฐสภา นายชวน หลีกภัย ได้สัมภาษณ์ให้ความเห็นในกรณีดังกล่าวหลายประเด็น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า นายชวน หลีกภัย อาจจะยังไม่ได้ฟังคลิปเต็มๆ จริงๆ ในวันดังกล่าว หรือไม่ก็อาจจะได้ฟังจากคลิปที่ถูกบิดเบือนและตกแต่ง ซึ่งความเป็นจริงการบันทึกเสียงทั้งหมดหรือการกล่าวบนบัลลังก์ คนที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาก็ได้ยินตรงกันว่า “นั่งลงครับ” ทั้งสิ้น นายจิรายุ กล่าว ตนในฐานะเคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาลองค์กรอิสระ องค์กรอัยการฯ ติดตามการทำงานกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด ไม่มีเหตุผลใดๆ ในกระบวนการยุติธรรมที่จะใช้คำพูดในลักษณะเช่นนี้ […]

ข่าวแนะนำ

จับตา “คาจิกิ” หลายจังหวัดภาคเหนือเตรียมรับมือน้ำท่วมดินถล่ม

25 ส.ค. – หลายจังหวัดทางภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ซึ่งเคยเผชิญน้ำท่วมครั้งใหญ่ทั้งน่าน ชายแดนแม่สาย เชียงราย และเชียงใหม่ ต่างเร่งเตรียมรับมือพายุคาจิกิ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบชัดเจนตั้งแต่พรุ่งนี้ นอกจากเสี่ยงจะเกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลากแล้ว บางพื้นที่ยังเสี่ยงดินโคลนถล่มด้วย โดยเฉพาะหมู่บ้านใกล้เชิงเขาที่จังหวัดน่าน ซึ่งเกิดดินสไลด์จนกระทบบ้านเรือนนับสิบหลังก่อนหน้านี้ ตอนนี้ต้องอพยพชาวบ้านกว่า 20 ครอบครัวออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัยแล้ว .-สำนักข่าวไทย

“บ้านหนองจาน” วุ่น เขมรบุกรื้อรั้วลวดหนาม-ปาของใส่ทหารไทย

สระแก้ว 25 ส.ค. – ชายแดนสระแก้วตึงเครียด ชาวกัมพูชาบุกรื้อรั้วลวดหนาม-ปาของใส่เจ้าหน้าที่ ในพื้นที่บ้านหนองจาน ทหารไทยเจ็บ 1 นาย ด้านกองทัพภาคที่ 1 แจงเป็นความเข้าใจผิดของฝ่ายกัมพูชา สถานการณ์บริเวณแนวชายแดนไทย–กัมพูชา พื้นที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ยังคงเกิดความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง หลังจากทางฝั่งกัมพูชาได้ประกาศเสียงตามสาย เรียกระดมชาวบ้านให้ออกมารวมตัวกันยังพื้นที่พิพาทติดแนวชายแดน โดยมีเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายป่าไม้ และที่ดินของกัมพูชา เข้าร่วมอยู่ในพื้นที่ด้วย เมื่อชาวบ้านจำนวนหนึ่งเดินทางมาถึง เกิดเหตุเหตุจราจลขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากกลุ่มชาวกัมพูชาบางส่วนพากันบุกเข้ามารื้อรั้วลวดหนามที่ฝ่ายไทยขึงกั้นไว้เพื่อป้องกันการรุกล้ำ นอกจากนี้ ยังมีการขว้างปาสิ่งของเข้าใส่เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บแล้ว 1 นาย ขณะปฏิบัติหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าประชาชนจากฝั่งกัมพูชายังคงทยอยเดินทางเข้ามาสมทบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดยิ่งขึ้น ด้านกองกำลังทหารไทยจึงได้เสริมกำลังเข้าตรึงพื้นที่เพื่อควบคุมสถานการณ์และป้องกันการบานปลาย ที่น่าสังเกตคือ ฝั่งกัมพูชาได้เปิดเพลงเสียงดังสนั่น คาดว่าเป็นเพลงปลุกใจ เพื่อสร้างขวัญและกระตุ้นให้ชาวบ้านในพื้นที่มีความฮึกเหิมมากขึ้น เสียงเพลงดังกล่าวได้ถูกเปิดก้องไปทั่วบริเวณแนวชายแดน สร้างความกดดันให้กับเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ สถานการณ์ล่าสุดยังคงมีการเผชิญหน้ากันระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย โดยทหารไทยยังคงตรึงกำลังแน่นหนา เพื่อเฝ้าระวังการปะทะที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับส่วนกลางเพื่อรายงานความคืบหน้าและเตรียมมาตรการรองรับ กองทัพภาคที่ 1 แจงแล้ว ปมชาวบ้านเขมรรื้อรั้วหนาม ล่าสุด กองทัพภาคที่ […]

ไทย-สวีเดน ลงนามซื้อ “กริพเพน” เฟสแรก 4 ลำ

สวีเดน 25 ส.ค.-ไทย-สวีเดน ลงนามซื้อ “กริพเพน” เฟสแรก 4 ลำ “มาริษ-ผบ.ทอ.” ร่วมเป็นสักขีพยาน ชูเป็นเขี้ยวเล็บป้องกันตัว พ่วง Offset Policy พัฒนาอุตสาหกรรม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเวลา 17.20 น. ตามเวลาในประเทศไทย รัฐบาลไทยและสวีเดน ได้บรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ในการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F ระยะที่ 1 จำนวน 4 เครื่อง วงเงิน 19,500 ล้านบาท โดยมี พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย มีนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ ดร.พอล ยอนซอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสวีเดน ร่วมเป็นสักขีพยาน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีว่า ข้อตกลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเสริมสร้าง “เขี้ยวเล็บ” […]

มทภ.2 ชี้หากพบกัมพูชารุกล้ำ-ลอบวางทุ่นระเบิด พร้อมใช้กำลังพลตอบโต้

เกษตรศาสตร์ 25 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ชี้หากพบทหารกัมพูชารุกล้ำ-ลอบวางทุ่นระเบิด พร้อมใช้กำลังพลตอบโต้ แต่ยิงแจ้งเตือนก่อน หากยังขัดขืนสั่งยิงทันที เชื่อประชุม RBC 27 ส.ค.นี้ ราบรื่นดี มองหากกัมพูชาไม่รับเงื่อนไขเก็บทุ่นระเบิด เตรียมเก็บหลักฐานฟ้อง UN วันนี้ (25 ส.ค. 68) ที่ห้องประชุมสุธรรม อารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย – กัมพูชา (RBC) ในวันที่ 27 ส.ค.นี้ หากฝ่ายกัมพูชาไม่ตกลงที่จะเก็บกู้ทุ่นระเบิด ว่า ถ้าไม่เก็บกู้ก็จะรายงานไปที่ UN และทำบันทึกไว้เพื่อเป็นการประท้วง ส่วนการประชุม RBC ที่พื้นที่กองทัพภาคที่ 1 มีการตอบรับเรื่องเก็บกู้ระเบิดร่วมกัน ในส่วนของกองทัพภาคที่ 2 ควรจะมีการตอบรับด้วยหรือไม่เพื่อแสดงถึงความจริงใจ นั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า […]