รัฐสภา 14 ม.ค.-กมธ.ศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดเวทีให้กรรมาธิการหงายไพ่แก้ไข รธน. 2 นัด ก่อนเปิดเวทีรับฟังความเห็นของประชาชนทั่วประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2560 สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการประชุมเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรก ซึ่งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ประธานกรรมาธิการฯ เปิดโอกาสให้กรรมาธิการทุกคนแสดงความคิดเห็นว่าจะเริ่มต้นในการศึกษาหาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร
นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองประธานกรรมาธิการฯ ก็เห็นด้วยในข้อเสนอว่าควรวางกรอบการทำงานก่อนจะลงรายละเอียดเนื้อหา แต่ยังไม่ควรออกไปเปิดรับฟังความเห็นประชาชน เพราะในชั้นกรรมาธิการยังไม่ได้พิจารณาประเด็นที่จะนำไปสำรวจความคิดเห็น แต่สามารถเปิดให้ประชาชนส่งความคิดเห็นมาที่กรรมาธิการได้
เช่นเดียวกับนายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เห็นว่าควรให้สมาชิกวุฒิสภาตั้งกรรมาธิการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญควบคู่ไปกับสภาผู้แทนราษฎร หรือให้ตั้งกรรมาธิการร่วมเพื่อให้การศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ ก่อนเปิดรับฟังความคิดเห็น
ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เห็นว่าการตั้งกรรมาธิการชุดนี้เพื่อต้องการผ่อนหนักให้เป็นเบา เพราะทราบดีกันอยู่แล้วว่าหาก ส.ส.เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขต่อรัฐสภา ก็จะถูกตีตกทันที เพราะ ส.ว.เพียง 84 คนก็สามารถสกัดได้แล้ว ดังนั้นจำเป็นต้องตั้งกรรมาธิการชุดนี้ด้วยเพื่อกำหนดเป็นข้อเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีประชาชนสนับสนุน จึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องเปิดให้มีการรับฟังความเห็นประชาชน โดยการตั้งอนุกรรมาธิหารลงพื้นที่ควบคู่ทำงานไปกับคณะกรรมาธิการฯ
ขณะที่ นายนิกร จำนง ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา เสนอให้มีการรับฟังความเห็นประชาชน 2 ชั้น ชั้นแรก คือ การรับฟังความเห็นก่อนพิจารณาเพื่อดูว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร ก่อนรับฟังความเห็นอีกชั้นเมื่อลงรายมาตรา
ด้านนายทศพล เพ็งส้ม กรรมาธิการจากพรรคพลังประชารัฐ เห็นว่าเราศึกษาวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อดูว่าปัญหาในการแก้ไขมีปัญหาอย่างไร เพื่อให้ประชาชนทราบก่อนวางแนวทาง แล้วค่อยไปถามประชาชน
ส่วนนายกฤษ เอื้อวงษ์ รองเลขาธิการ กกต. มองว่าควรกำหนดแนวทางการแก้ไขให้ชัดเจน ควบคู่ไปกับเนื้อหาสาระที่จะแก้ไข และเห็นด้วยว่าควรรับฟังความเห็นประชาชนแบบคู่ขนาน เป็น 2 ช่วง ช่างแรกรับฟังแบบกว้าง ๆ และให้กรรมาธิการมากำหนดประเด็นในการแก้ไข ก่อนไปรับฟังความเห็นอีกครั้งว่าเห็นด้วยกับประเด็นที่จะแก้ไขหรือไม่
ขณะที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.พรรคเพื่อไทย เห็นด้วยที่จะให้รับฟังความเห็นทั้งขั้นตอนศึกษาและขั้นตอนการแก้ไข แต่ต้องรับฟังอย่างจริงจัง เพราะประชาชนมีความรู้และทราบปัญหาเป็นอย่างดี
ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการ กกต. เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมี 3 แนวทาง คือ แก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพียงอย่างเดียว เพื่อเปิดทางให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถทำได้ง่าย แต่คงเป็นไปได้ยาก เพราะ ส.ว.ไม่ยอม เนื่องจากมาตรานี้กำหนดให้ ส.ว.เข้ามาร่วมถ่วงดุลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือแก้ไขมาตราที่เป็นปัญหาเลยโดยไม่ต้องแก้ที่มาตรา 256 แต่จะเกิดปัญหาความได้เปรียบเสียเปรียบในการแก้ไข เพราะแต่ละฝ่ายเห็นปัญหาที่แตกต่างกัน และแนวทางสุดท้าย คือ การแก้มาตรา 256 แล้วให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร.ขึ้นมาร่างกติกาใหม่ แต่จะส่งผลให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเสียหน้าเพราะสิ่งที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญทำมาต้องกลับมาร่างใหม่ทั้งหมด รวมทั้งการตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมา อาจใช้เวลาในการพิจารณานานถึง 2 ปี พร้อมเสนอให้กรรมาธิการกำหนดตารางการทำงานที่ชัดเจนและตั้งเป้าหมายในแต่ละเดือน และต้องสื่อสารกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเปิดรับฟังความห็นประขาชน 1 เดือนเต็มเพื่อนำความเห็นมาพิจารณา ทั้งนี้ยังเห็นว่ากรรมาธิการควรมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะไม่ขยายเวลาการทำงาน เพราะคณะกรรมาธิการมีโอกาสและทรัพยากรเต็มที่ หากไม่สามารถทำงานแล้วเสร็จตามกรอบที่กำหนด ถือว่าเป็นปัญหาของกรรมาธิการชุดนี้ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เตือนว่า เรื่องการรับฟังความคิดเห็น ควรดำเนินการโดยคณะกรรมาธิการ และไม่ควรปล่อยให้พรรคการเมืองดำเนินการกันเอง ขณะที่นายโภคิน พลกุล กรรมาธิการสัดส่วนพรรคเพื่อไทย ระบุว่า การรับฟังความคิดเห็นจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่คงไม่ดีหากกระจุกอยู่เฉพาะความเห็นกรรมาธิการ จึงควรเปิดรับฟังความคิดเห็นคนนอกด้วย
ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ เห็นว่าเราต้องทำควบคู่กันไป หากเรารอประชาชน ก็คงไม่ต้องทำงาน และหากเรามัวทำงานแต่ไม่ฟังประชาชน คงไม่ได้ ดังนั้นในเบื้องต้นจะทำงานไปสักระยะหนึ่งก่อน และพิจารณาว่าจะมีความจำเป็นต้องตั้งคณะอนุกรรมาธิการหรือไม่ แต่อาจจะเหลือเพียงอนุกรรมาธิการ 3 ภาคเท่านั้น ซึ่งจะต้องมีการหารือในรูปแบบต่อไป
สำหรับเวทีรับฟังความคิดเห็นจากกรรมาธิการฯ นั้น นายพีระพันธุ์ กำหนดให้มี 2 นัดการประชุม คือ ในวันนี้ (14 ม.ค.) และวันที่ 17 มกราคม 2563 ก่อนนำความคิดเห็นที่ได้มาประมวลพูดคุยในกรรมาธิการอีกครั้ง.-สำนักข่าวไทย