สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 15 พ.ย.- ผู้ตรวจการแผ่นดินมติเอกฉันท์ ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พ.ร.บ.คำสั่งเรียกของ กมธ.สภา 2554 ขัดรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้อำนาจแค่เรียก ไม่มีโทษหากไม่ปฏิบัติตาม
นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงภายหลังการประชุมผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติเอกฉันท์ ว่าพ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 มาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 13 ที่ให้อำนาจคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีอำนาจออกคำสั่ง เรียกเอกสารจากบุคคล หรือเรียกบุคคลใดมาชี้แจงข้อเท็จจริง ต่อคณะกรรมาธิการ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 129 และให้ส่งเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 23 (1) พ.ร.ป. ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน 2560 ภายในวันเดียวกันนี้
นายรักษเกชา กล่าวว่า เนื่องจากเห็นว่า พ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการฯดังกล่าว เป็นกฎหมายที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 135 ซึ่งบัญญัติให้คณะกรรมาธิการ มีอำนาจออกคำสั่งเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาชี้แจงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในกิจการที่ได้กระทำ หรือในเรื่องที่พิจารณาสอบสวนศึกษาอยู่นั้นได้ และให้คำสั่งเรียกดังกล่าวมีผลบังคับตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยมาตรา 13 ของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ยังกำหนดโทษของผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรียกต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยบทบัญญัติดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ให้การทำงานของคณะกรรมาธิการสามารถสนับสนุนการดำเนินการของสภาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ปัจจุบันรัฐธรรมนูญ 50 ไม่ได้มีผลบังคับใช้แล้ว และมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 60 โดยมาตรา 129 บัญญัติให้คณะกรรมาธิการมีอำนาจเรียกเอกสารจากบุคคลใดหรือเรียกบุคคลใดมาชี้แจงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในกิจการที่คณะกรรมาธิการพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่ได้ และในวรรค 5 ก็ได้กำหนดวิธีการให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริง ตามที่คณะกรรมาธิการต้องการไว้เป็นการเฉพาะในลักษณะมาตรการเชิงบังคับ ว่า ให้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในเรื่องที่คณะกรรมาธิการสอบหาข้อเท็จจริงอยู่ ต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดให้ข้อเท็จจริงเอกสาร หรือแสดงความเห็นตามที่คณะกรรมาธิการเรียก
ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวก็มีวัตถุประสงค์ให้การทำงานของคณะกรรมาธิการสามารถสนับสนุนการดำเนินการของสภาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน โดยไม่ได้มีการกำหนดโทษอาญาไว้เพื่อลงโทษ กรณีบุคคลไม่ปฏิบัติตามการเรียกของคณะกรรมาธิการ จึงเห็นว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 60 ให้อำนาจ คณะกรรมาธิการเพียงเรียกเอกสารหรือบุคคลได้เท่านั้น ไม่ได้ให้อำนาจในการออกคำสั่งเรียกเหมือนมาตรา 135 ของรัฐธรรมนูญ 50 ดังนั้น มาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 13 ของพ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 จึงมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ60 มาตรา129
นายรักษเกชา กล่าวว่า การมีมติดังกล่าวเป็น การพิจารณาข้อกฎหมาย ตามอำนาจหน้าที่ ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ไม่ได้เกี่ยวกับการที่คณะกรรมาธิการป.ป.ช.จะใช้อำนาจออกคำสั่งเรียกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาชี้แจงกรณีการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน ซึ่งเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว ก็เป็นดุลพินิจของประธานคณะกรรมาธิการที่จะพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรกับคำสั่งเรียก เอกสารหรือบุคคล ที่มีไปก่อนหน้านั้น เพราะผู้ตรวจไม่มีอำนาจในการที่จะออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพื่อระงับคำสั่งเรียกดังกล่าว รวมทั้งเป็นดุลพินิจของผู้ถูกเรียกว่าจะรอการพิจารณาวินิจฉัยของศาลก่อนหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณีดังกล่าวนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ขอให้พิจารณาเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ตรวจฯได้มติรับคำร้องไว้พิจารณาเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ก่อนมีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในวันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.30 น.วันเดียวกันนี้ สำนักงานผู้ตรวจได้ให้เจ้าหน้าที่นำคำร้องไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว.-สำนักข่าวไทย