กรุงเทพฯ 8 พ.ย. – บมจ.พีทีทีโกลบอลเคมิคอล (จีซี) เตรียมเงิน 1.5-2 แสนล้านบาท พร้อมลงทุนใหม่หรือซื้อกิจการใหม่ใน 5 ปีข้างหน้า พร้อมกำหนดเป้าหมายปี 2030 หรือ พ.ศ. 2573 เอบิทด้าจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากการสร้างบ้านที่ 2 ในสหรัฐที่จะประกาศแผนลงทุนชัดเจนใน 5 ปีข้างหน้า
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) จีซี กล่าวว่า ราคาปิโตรเคมีขณะนี้ คาดว่าจะเป็นช่วงราคาที่ต่ำที่สุดแล้ว และประเมินว่าปี 63 มาร์จินต่าง ๆ จะขยับดีขึ้น เนื่องจากทิศทางการเจราจาสงครามการสหรัฐ-จีนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ประกอบกับข้อบังคับข้อตกลงการใช้น้ำมันกำมะถันต่ำขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (ไอเอ็มโอ ) มีผลบังคับใช้ปี 2563 จะทำให้ค่าการกลั่นขยับดีขึ้น จึงมองว่าในส่วนของราคาและมาร์จิ้นจะเป็นส่วนหนึ่งหรือโตขึ้นร้อยละ 4 ทำให้ปี 2563 จะมีรายได้ดีขึ้นประมาณร้อยละ 15 โดยอีกร้อยละ 11 จะมาจากกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น จากการที่ไม่มีการปิดซ่อมโรงกลั่นเหมือนปี 2562 และโครงการใหม่ทั้งโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต (ORP) ,โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (PO) และโครงการโพลีออลส์ (Polyols) ก็จะเสร็จปลายปี 2563
ทั้งนี้ จีซี ประเมินว่าปี 2563 เปรียบเทียบกับปี 2562 ค่าการกลั่นเฉลี่ยจะขยับขึ้นจาก 4 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เป็น 7 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล มาร์จิ้นอะโรเมติกส์ จะขยับขึ้นจาก 140 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เป็น 180 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน และกลุ่มโพลีเมอร์ก็จะขยับดีขึ้น โดยราคาโพลีเอทลีน น่าจะขยับขึ้นจาก 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ตันเป็น 1,030 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน
นายคงกระพัน กล่าวด้วยว่า ในฐานะผู้บริหารงานคนใหม่ของจีซี ตั้งนโยบายเน้นความยั่งยืน คือ “สานต่อ ต่อยอด” โดยจีซีจะเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ 3 Steps คือ 1. Step Change : สานต่อสร้างบ้านปัจจุบันทั้งในมาบตาพุดและอาเซียนให้แข็งแรง โดยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่ม Plant Reliability ให้อยู่ในระดับ 1st Quartile และ ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจด้วยการขยายเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำและ High Value Business โดยขณะนี้ลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ไปแล้ว 100,000 ล้านบาท และอีก 3 ปีข้างหน้าจะลงทุนในอีอีซีอีกไม่ต่ำกว่า 40,000-50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้บริหาร
2.Step Out : การหาฐานธุรกิจแห่งที่ 2 (Second Home Base) ซึ่งมีศักยภาพในการแข่งขันด้านวัตถุดิบหรือการเติบโตของตลาด อาทิ โครงการศึกษาการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐฯ 1.5 ล้านตัน/ปี ที่มีศักยภาพความเป็นต่อด้านวัตถุดิบ (Feedstock) ต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ด้วย Mergers and Acquisitions (M&A) สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยโครงการลงทุนในสหรัฐจะประกาศตัดสินใจขั้นสุดท้ายกลางปี 2563 และจะสร้างเสร็จใน 5 ปีถัดไป และ 3. Step Up : สานต่อแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งจีซีปฏิบัติอย่างโดดเด่น ด้วยความคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อความยั่งยืนสูงสุด และต่อยอดบูรณาการให้เกิดความยั่งยืน (Sustainability) ทุกธุรกิจและกระบวนการของบริษัทฯ
“นโยบายดังกล่าวจีซีตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2573 จะมีอีบิทด้า (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีนิติบุคคล ค่าเสื่อม และค่าจัดจำหน่าย) จากต่างประเทศมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 จากปีนี้ร้อยละ 7 รายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 60 และในส่วนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษและผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จะมีสัดส่วนร้อยละ 30 ทำให้บริษัทมีความหลากหลายและลดความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ” นายคงกระพัน กล่าว
นายคงกระพัน กล่าวด้วยว่า ทางบริษัทจะมีกระแสเงินสดเข้ามาแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ประกอบกับหนี้สินต่อทุนต่ำมากอยู่ที่ประมาณ 0.3 ดังนั้น ภายใน 5 ปี บริษัทจึงประเมินว่าจะมีวงเงินรวม 150,000 -200,000 ล้านบาท ในการลงทุนใหม่หรือทำการควบรวมกิจการ โดยจากภาวะตลาดโลกเช่นนี้ก็เป็นโอกาสในการซื้อกิจการ โดยดูหลายโครงการ ขณะเดียวกันโครงการไบโอพลาสติก PLA ที่บริษัทร่วมทุนในสหรัฐ คือ บริษัทเนเจอร์เวิร์กกำลังผลิต 150,000 ตัน/ปี ขณะนี้ยอดขายล้น ดังนั้น จึงพยายามดึงเข้ามาลงทุนในไทย หากได้รับการตอบรับก็คาดว่าจะมีการลงทุนในกำลังผลิต 75,000 ตัน/ปี. -สำนักข่าวไทย