กรุงเทพฯ 16 ต.ค. – เกษตรกรปลูกพืชอุตสาหกรรม จ่อฟ้องศาลปกครอง ขอคุ้มครองฉุกเฉิน ระงับแบน 3 สาร อ้างสารใหม่ทำต้นทุนสูงลิ่ว
น.ส.วรณิกา นาควัชระ บีดิงเฮาส์ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย แถลงข่าว “แบน 3 สารเคมีเกษตร ถามเกษตรกรหรือยัง” ว่า สมาคมฯ และเกษตรกรกลุ่มพืชเศรษฐกิจหลักขอคัดค้านมติคณะทำงานเพื่อพิจารณาความเห็นของส่วนรัฐ ผู้นำเข้า เกษตรกร และผู้บริโภค ที่จะเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณายกเลิกคลอร์ไพริฟอส พาราควอต และไกลโฟเซต วันที่ 1 ธันวาคมนี้ เนื่องจากประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ 2101/2562 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาความเห็นของส่วนรัฐ ผู้นำเข้า เกษตรกร และผู้บริโภค ต่อการยกเลิกคลอร์ไพริฟอส พาราควอต และไกลโฟเซตนั้น ขาดความชอบธรรมโดยมีแต่กรรมการที่คัดค้านการใช้สารเคมีเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีตัวแทนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิก และไม่มีตัวแทนผู้นำเข้าอย่างครบถ้วน
ทั้งนี้ ทางกลุ่มต้องการให้ทบทวนการพิจารณามติยกเลิกและให้อิสระแก่คณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งจะประชุมวันที่ 22 ตุลาคมนี้ เพื่อให้สามารถทำหน้าที่พิจารณาโดยใช้ข้อเท็จจริง ข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ มากกว่าการใช้ข้อมูลบิดเบือนจากเอ็นจีโอ โดยอ้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ขณะที่เกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมอย่างมันสำปะหลัง อ้อย ปาล์ม ยางพารา และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังมีความจำเป็นต้องใช้ ขณะนี้ยังไม่มีสารใดที่มีคุณสมบัติและราคาเทียบเท่ามาทดแทนได้ โดยเฉพาะสารกำจัดวัชพืชอย่างพาราควอตได้
น.ส.วรณิกา กล่าวว่า การประกาศยกเลิกทันทีภายในวันที่ 1 ธันวาคมนั้น คณะกรรมการวัตถุอันตรายควรพิจารณาถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อพืชเศรษฐกิจ จากการที่เกษตรกรยังไม่มีสารใดมาทดแทนหรือไม่ ขณะเดียวกันยังต้องมีการจัดการสตอกสินค้าสาร 3 ชนิด ที่มีปริมาณเหลือ 40,000 ตัน ซึ่งอยู่ในมือเกษตรกร 10,000 ตัน หากคำนวณงบประมาณที่รัฐฯ จะต้องใช้จ่ายในการจัดการสินค้าคงค้างดังกล่าวที่มีอยู่มากถึง 30,000-40,000 ตัน จะต้องมีค่าทำลายสารเหล่านี้ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าขนย้าย 50 ล้านบาท ค่าชดเชยให้เกษตรกร กก.ละ 500 บาท ค่าทำลายสาร กก.ละ 100 บาท รวมถึงดูแลรักษาที่ภาครัฐต้องเช่าโกดังเก็บสินค้าอีกกว่า 5,050 ล้านบาท เท่ากับว่าจะต้องชดเชยถึง 500,000 บาท ต่อ 1 ตัน ดังนั้น หากรัฐจะมีมติยกเลิกจริงควรให้ระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปีเช่นเดียวกับที่ประเทศอื่นทำเพื่อให้สินค้าที่คงค้างอยู่หมดไป และไม่ต้องสูญเสียงบประมาณไปกับการทำลายสารเคมีที่ถูกประกาศยกเลิก
น.ส.วรณิกา กล่าวว่า ขั้นตอนประกาศยกเลิกสารเคมีนั้น ควรเป็นขั้นบันได คือ ลด ละ เลิก ขณะนี้อยู่ในช่วงของการลด คือ การจำกัดการใช้ ซึ่งภาคอุตสาหกรรมเกษตรได้สร้างความรู้ความเข้าใจ การฝึกอบรมและทดสอบ การใช้ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรอย่างถูกต้องและถูกวิธีเพื่อความปลอดภัยของตัวเกษตรกรเอง และผู้บริโภค โดยได้จัดให้มีการฝึกอบรมร้านค้า เกษตรกร และผู้รับจ้าง ซึ่งทำงานร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้การขึ้นทะเบียนสารเคมีถูกระงับไว้โดยสิ้นเชิงผู้ค้าผู้ส่งออกซึ่งมีลูกค้าเตรียมสั่งซื้อถูกเหมารวมไม่สามารถที่จะทำธุรกิจ ซึ่งจะทำให้กระทบต่อเศรษฐกิจการเกษตรกำลังจะพังพินาศ
น.ส.วรณิกา กล่าวว่า การจัดการศัตรูพืชโดยการใช้สารยังคงจำเป็นสำหรับเกษตรกร การยับยั้งภาคการผลิตและส่งออกพืชเศรษฐกิจที่มีความจำเป็นต้องใช้สารดังกล่าวอาจสร้างความเสียหายโดยไม่จำเป็นเนื่องจากการใช้สารแต่ละประเภทอยู่ภายใต้การกำหนดค่ามาตรฐานจากองค์กรสากล ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งขันรายอื่น ๆ ที่สามารถพัฒนาขีดความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันในด้านการผลิต และการตลาดที่นำมาใช้ในการประกอบการพิจารณา
ด้านนายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชอุตสาหกรรม เตรียมจะยื่นคำร้องต่อศาลปกครองขอคุ้มครองฉุกเฉิน หากคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติพิจารณาแบนสารเคมีทั้ง 3 ชนิด เพื่อปกป้องสิทธิ์ของเกษตรกร ยืนยันว่าข้อมูลของภาคประชาชน (เอ็นจีโอ) ที่นำออกมาเผยแพร่เป็นข้อมูลเท็จ ซึ่งขณะนี้ทางกลุ่มเสนอข้อมูลผลงานวิจัยไปยังคณะกรรมการวัตถุอันตรายแล้ว โดยไม่ยอมรับมติของคณะทำงาน 4 ฝ่าย เพราะไม่ใช่ตัวแทนที่แท้จริง แต่เป็นการอุปโลกน์ เพื่อมากดดันการทำงานของคณะกรรมการวัตถุอันตราย
นายมนัส กล่าวว่า สารเคมีที่คาดการณ์ว่าจะนำมาใช้ทดแทนพาราควอตและไกลโฟเซต คือ กลูโฟซิเนตนั้นเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ซึ่งราคาสูงกว่าพาราควอต จากถังละ 500 เป็นประมาณ 2,500 บาท ขณะเดียวกันปริมาณที่ต้องใช้เพิ่มขึ้น 1.5 – 2 เท่า ทำให้เกษตรกรมีต้นทุนเพิ่ม 12-14 เท่าตัว.-สำนักข่าวไทย