บุรีรัมย์ 13 ต.ค. – ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้าน มีเหตุการณ์ศพสลับกันโดยที่ญาติผู้เสียชีวิตไม่รู้ จนเกือบเผาผิดศพ เพราะเจ้าหน้าที่ที่ดูแลจัดการเรื่องศพของทางโรงพยาบาลไม่ได้ติดชื่อไว้
ผู้สื่อข่าวจึงได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านเลขที่ 202 บ้านโนนมาลัยพบชาวบ้านจำนวนหนึ่งจับกลุ่มพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเจอเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวมาก่อน จากการสอบถามชาวบ้านบอกว่าผู้เสียชีวิต คือ น.ส.อ้อม เตาตีทอง อายุ 47 ปี เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา และญาติได้ไปรับศพที่โรงพยาบาลมาตั้งบำเพ็ญกุศลตามประเพณีที่บ้านเลขที่ 202 ดังกล่าว แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าศพที่อยู่ในโลงนั้นไม่ใช่ศพของ น.ส.อ้อม จนกระทั่งมีรถของหน่วยกู้ชีพ อบต.วังเหนือ อ.บ้านด่าน วิ่งมาที่งานและขอแลกเปลี่ยนศพ น.ส.อ้อม ที่อยู่ในโลงกับศพที่อยู่ในรถกู้ชีพคันดังกล่าว ทำให้ทั้งญาติและชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างตกใจและงงไปตามๆ กัน เพราะไม่คิดว่าศพที่ตั้งทำพิธีจะเป็นศพคนอื่น เพราะไม่มีใครเปิดดูศพเลยหลังจากรับศพที่โรงพยาบาลซึ่งเจ้าหน้าที่จัดการให้เรียบร้อยแล้ว ก็นำศพใส่ในโรงศพเลย
กระทั่งเจ้าหน้าที่กู้ชีพที่นำศพมาขอเปลี่ยนอธิบายให้ฟังว่า ขณะที่ญาติไปติดต่อรับศพผู้ตายที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ มีการรับศพสลับกับศพของนางละม่อม อินสำราญ อายุ 75 ปี ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคชราในเวลาใกล้เคียงกัน จากนั้นญาติๆ ของ น.ส.อ้อม จึงได้ขอดูศพที่อยู่ในรถ จึงพบว่าเป็นศพของ น.ส.อ้อม จริงๆ และเมื่อไปเปิดดูศพที่อยู่ในโลงก็พบว่าเป็นศพของหญิงชราที่สลับกันมาจริง จึงได้เปลี่ยนศพคืน
นายศักดิ์ดา เตาตีทอง อายุ 58 ปี พี่ชายของ น.ส.อ้อม เล่าว่า หลังจากน้องสาวเสียชีวิต ญาติได้เดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ เวลาประมาณ 17.00 น. ของวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องศพแจ้งว่าแต่งศพให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ญาติรับกลับไปได้เลย ซึ่งตอนนั้นศพอยู่ในสภาพห่อผ้าขาวมิดชิด ญาติจึงไม่ได้เอะใจเปิดดูหน้าศพ จากนั้นก็เอาเข้าโลงเย็นทันที และเมื่อมาถึงบ้านก็ตั้งศพเพื่อไว้ประกอบพิธีสวดอภิธรรมตามประเพณี ซึ่งก็ญาติและเพื่อนบ้านมากราบไหว้ศพตามปกติ กระทั่งตอน 19.00 น.เศษๆ มีรถเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพ อบต.วังเหนือ ขับมาจอดหน้าบ้านแล้วบอกว่าศพสลับกันมาขอเปลี่ยนศพ ก็รู้สึกตกใจจึงได้ไปเปิดดูศพที่อยู่ในโลงก็พบว่าไม่ใช่ศพของน้องสาวตนเอง แต่เมื่อดูศพที่รถกู้ชีพปรากฏว่าเป็นศพของน้องสาวจริง จึงได้เปลี่ยนศพกัน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางญาติไม่ได้ติดใจจะเอาเรื่องอะไร แต่อยากให้ทางโรงพยาบาลที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องศพ มีความรอบคอบมากขึ้นกว่านี้ และอยากให้มีการติดชื่อศพให้ชัดเจนเพื่อจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก และหากเป็นไปได้ญาติที่ไปรับศพควรจะเปิดดูศพก่อนด้วย เพราะถ้าหากเผาศพไปแล้วก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไง
ด้านนายสุวิทย์ สีทา อายุ 39 ปี หลาน น.ส.อ้อม ผู้เสียชีวิต เล่าว่า หลังเอาศพมาถึงบ้านก็เอาเข้าโลงเย็นทันที มีการตั้งศพเพื่อเตรียมทำพิธีสวดอภิธรรมตามประเพณี มีญาติพี่น้องมาจุดธูปไหว้ศพอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าในโลงนั้นไม่ใช่ศพของป้า แต่เป็นศพของคนอื่น กระทั่งรถกู้ชีพมาขอเปลี่ยนรู้ว่าศพสลับกัน พอมาคิดย้อนหลังก็มีเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นลางสังหรณ์หรือสัญญาณที่ป้าอาจจะบ่งบอกอะไรสักอย่าง เพราะเทียนเล่มใหญ่ที่จุดไว้หน้าโลงล้มลงถึง 2 ครั้ง ทั้งที่ไม่มีลมพัด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็อยากให้ทางโรงพยาบาลมีความรอบคอบมากกว่านี้ เพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดขึ้นอีก
ซึ่งศพของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายที่สลับกัน ทางญาติได้ประกอบพิธีฌาปนกิจศพไปแล้วเมื่อวานนี้ (12 ต.ค.) .- สำนักข่าวไทย