กรมธนารักษ์ 9 ต.ค. – รมว.คลังดึงกรมธนารักษ์ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เร่งจัดสรรที่ราชพัสดุให้เกษตรกรใช้ประโยชน์ พัฒนาพื้นที่เหมาะสมสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างที่อยู่อาศัยรองรับสังคมผู้สูงอายุ และตั้งบอร์ดรถไฟรองรับขับเคลื่อนรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบนโยบายให้กับผู้บริหารกรมธนารักษ์ เพื่อนำที่ราชพัสดุ 12 ล้านไร่มาพัฒนาประโยชน์มากที่สุด รองรับนโยบายเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล เพื่อต้องการที่ราชพัสดุจากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ครอบครองอยู่แต่ไม่ใช้ประโยชน์ เช่น ที่ดินในการครอบครองของทหาร หรือหน่วยงานอื่นได้นำไปปล่อยเช่าช่วงเชิงพาณิชย์ จึงต้องเจรจานำกลับมาจัดสรรให้เกษตรกร ประชาชนรายย่อยใช้ประโยชน์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์สัญญาเช่า เพราะหากเกษตรกรได้รับสัญญาเช่า จะนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกับแบงก์รัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีดีแบงก์) เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนประกอบอาชีพ
นายอุตตม กล่าวว่า กรมธนารักษ์ยังต้องวางแผนสนับสนุนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากตามยุทธศาสตร์ประเทศ ด้วยการพัฒนาพื้นที่ราชพัสดุ เปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ยกระดับเส้นทางท่องเที่ยวแหล่งเดิมให้มีความสนใจ เพื่อกระจายความเจริญออกไปยังภูมิภาค เพื่อมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยือนในท้องถิ่นมากขึ้น การจัดเตรียมที่ราชพัสดุ สำหรับสร้างที่อยู่อาศัยของประชาชนรายย่อย หรือการตั้งศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร รองรับกับการเข้าสู่สังคมสูงอายุ เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับคนชรา การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจฐานรากจึงมีความสำคัญมากขึ้น
นอกจากนี้ กรมธนารักษ์ต้องกำหนดแผนเชิงรุกเตรียมพร้อมการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ หรือผลักดันหลายโครงการที่ดำเนินการอยู่ให้คืบหน้าเป็นรูปธรรม หรือจัดพื้นที่การผลิตสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ สนับสนุนการพัฒนาพื้นที่พิเศษในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) สอดรับกับหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะรองรับแผนก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เตรียมเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชุดใหม่ เพื่อให้มีคณะกรรมการขับเคลื่อนและตัดสินใจโครงการลงทุนขนาดใหญ่เร็วที่สุด แม้ว่ากำหนดการลงนามระหว่างกลุ่มซีพีและ รฟท.ได้เลื่อนออกไปจากเดิม จึงต้องตั้งบอร์ดมารองรับการทำงาน สำหรับความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นอย่างไร ต้องมาหารือร่วมกันว่าภาคเอกชนยอมรับความเสี่ยงได้อย่างไร ภาครัฐรองรับอย่างไร.-สำนักข่าวไทย