กทม.8 ต.ค.- อดีตประธานศาลอุทธรณ์ มองกรณี”คณากร เพียรชนะ”ไม่น่ามีแทรกแซงจากฝ่ายใด อาจเกิดจากกดดันในการทำงานที่ผู้บังคับบัญชาไม่รับฟังข้อคิดเห็นในคำพิพากษา
นายศิริชัย วัฒนโยธิน อดีตประธานศาลอุทธรณ์ ให้ความเห็นกรณีนายคณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดยะลายิงตัวเองได้รับบาดเจ็บหลังพิจารณาคดีในศาล โดยมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะเป็นการแทรกแซงจากฝ่ายใด แต่อาจเกิดจากความกดดันในการทำงานที่ผู้บังคับบัญชาไม่รับฟังข้อคิดเห็นในคำพิพากษาที่มีความเห็นแก้ไข และเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีที่ยังสามารถต่อสู้ได้อีก 2 ศาล คืออุทธรณ์และศาลฎีกา การมีคำสั่งให้ยกฟ้อง หากเกรงว่าจำเลยจะหลบหนีคดี ก็ออกคำสั่งขังไว้ระหว่างรอการพิจารณาคดีของศาลชั้นอื่นได้ ส่วนข้อสงสัยกรณีผู้พิพากษาพกปืนเข้าไปภายในห้องพิจารณาคดีนั้น ตามข้อกำหนดแล้วก็ไม่สามารถนำเข้าไปได้ แต่อาจด้วยในจังหวัดยะลา เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เกิดความไม่สงบ และอนุญาตให้พกปืนไว้ป้องกันตัวได้ เพราะที่ผ่านมาก็เคยเกิดเหตุยิงผู้พิพากษาเสียชีวิตเช่นกัน แต่กรณีนี้ยังไม่แน่ชัดว่าได้รับอนุญาตให้นำปืนเข้ามาในพื้นที่ศาลได้หรือไม่ ส่วนข้อเสนอแนะที่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีของศาลยุติธรรมในอนาคต โดยเฉพาะตั้งแต่ศาลชั้นต้นที่เริ่มรับคดีมาพิจารณา นายศิริชัย เห็นว่า ควรให้อำนาจการพิจารณาคดีแต่ละคดีสิ้นสุดอยู่ที่หัวหน้าศาลนั้นๆ ไม่จำเป็นต้องส่งคำพิพากษาไปถึงอธิบดีศาลภาค แต่หากจำเป็นต้องส่งให้พิจารณาในคดีใหญ่ อุกฉกรรจ์ ต้องพิจารณาด้วยความใจเย็น ฟังความคิดเห็นจากผู้พิพากษาอย่างรอบด้าน แต่ก็ยังเห็นว่าแม้ระบบจะดีแค่ไหน แต่หากบุคคลที่มาทำงานมีพรรคพวกเข้ามาบริหารก็จะทำให้ระบบยุติธรรมก็จะถูกแทรกแซงได้
นายศิริชัย ยังเห็นว่าควรเปลี่ยนวิธีการตรวจสอบสำนวนโดยศาลชั้นต้นโดยเฉพาะคดีเล็กๆ ที่ควรตัดสินให้เด็ดขาดโดยที่ไม่ต้องสู้คดีต่อในศาลอื่น ส่วนคดีใหญ่ หรือที่มีความเสียหายมาก คู่กรณีต้องต่อสู้ต่อในชั้นศาลที่สูงกว่าอยู่แล้ว
นายศิริชัย ยังระบุว่า ก่อนหน้านี้ผู้พิพากษาจะเก็บตัว แต่มีการปรับเปลี่ยนสมัยที่อยู่ในสังกัดของกระทรวงยุติธรรม มีการเปิดตัวผู้พิพากษา ทำให้มีการรู้จักกับพ่อค้า หรือบุคคลหลากหลายมากขึ้น ทำให้มีการฝากให้ช่วยดูแลคดีต่างๆ และเกิดปัญหาตามมา.-สำนักข่าวไทย