ตลท. 15 ก.ย. – เงินบาทแข็งค่า หุ้นผันผวน แนะลงทุนทองคำสะสม วายแอลจีคาดสิ้นปีนี้ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จับตาเฟด 17-18 ก.ย.นี้
นางสาวรินใจ ชาครพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “เงินบาทแข็ง ทองผันผวน เล็งทางรุก หาทองรอด ด้วย TFEX” ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พร้อมมอบรางวัล Phillip-TFEX Trading Challenge 2019 ให้กับนักลงทุนที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดแต่ละเดือน
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจลงทุนมากที่สุดขณะนี้ ท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้าที่ยืดเยื้อ โดยยังคงจับตาผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วันที่ 17 -18 กันยายนนี้ โดยภาพรวมราคาทองคำจนถึงสิ้นปีนี้มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ระดับ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ถ้าเป็นราคาทองคำในประเทศคาดจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 21,300 – 22,300 บาทต่อบาททองคำ
ส่วนปัจจัยที่ต้องตาม คือ นโยบายของธนาคารกลางทั่วโลก สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ยังยืดเยื้อ หากยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ ทองคำก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่ต้องการของนักลงทุน แต่หาก 2 ประเทศมหาอำนาจทั้งสหรัฐและจีนได้ข้อยุติจบลงด้วยดี ก็อาจจะมีแรงขายทองคำออกมาบ้าง แต่ทางเทคนิคแล้วราคาทองคำจะไม่ปรับตัวลดลงมาก คาดว่าราคาทองคำตลาดโลกจะอยู่ที่ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 25 กันยายนนี้ มองว่าแม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง แต่จะยังไม่ส่งผลต่อราคาทองคำในประเทศบ้านเรามากนัก เพราะปัจจัยหลัก ๆ ยังมาจากปัจจัยนอกประเทศ
สำหรับทิศทางค่าเงินบาท ยังมองว่ามีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับภูมิภาค แต่ยังคงต้องติดตามว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีมาตรการออกมาช่วยชะลอการแข็งค่าของค่าเงินบาทในอนาคตหรือไม่ คาดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 29.50 – 31.50 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม แนะนักลงทุนว่าปีนี้เป็นปีที่ดีสำหรับทองคำ เพราะราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี และมีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี 2562 ถ้ามีจังหวะราคาทองคำปรับตัวลดลงแนะนำเข้าซื้อทองคำสะสม ขณะที่ปี 2563 ก็ยังมีแนวโน้มราคาทองคำเป็นบวกต่อเนื่อง เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
นายณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประธานฝ่ายบริหาร บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด กล่าวว่า ทิศทางสัปดาห์หน้าเป็นจังหวะที่ควรซื้อทองคำกลับ โดยตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25 – 0.5 ถ้ามีการปรับลดต่ำกว่าคาดการณ์จะส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูง มีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงที่ระดับ 1,500 – 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ภาพรวมมองว่าราคาทองคำเริ่มที่จะพักฐาน โดยเคลื่อนตัวในกรอบแนวรับ 1,475 –1,480 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และมีแนวต้าน 1,500 – 1,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งในส่วนของทองคำไทยคาดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 21,300 – 22,000 บาทต่อบาททองคำ แนะนักลงทุนทยอยซื้อเก็บ
ทั้งนี้ เชื่อว่า กนง.จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม คาด กนง.คงต้องรอดูผลการประชุมเฟดก่อน เพื่อดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าขึ้นกว่าเดิม วันนี้คาดว่าจะมีแนวรับ 21,500 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่แนวต้าน 21,850 บาทต่อบาททองคำ สำหรับเงินบาทน่าจะมีความผันผวนต่อเนื่องหลังจากปรับแข็งค่าลงไปถึง 30.28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะดีดกลับมาบริเวณ 30.48 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ . – สำนักข่าวไทย