สำนักงานกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ 15 ก.ค.- คนข้ามเพศ ร้องกรรมการสิทธิ์ ประสานราชทัณฑ์ ให้ผู้ต้องขังข้ามเพศได้รับฮอร์โมน เพื่อสุขภาพ ไม่ใช่ความสวยงาม พร้อมวอนช่วย 2 นักศึกษา ม.พายัพ หลังคณะเภสัชฯ ห้ามแต่งกายตามเพศสภาพ
นายศิริศักดิ์ ไชยเทศ นักกิจกรรมอิสระเรื่องสิทธิมนุษยชน เพื่อคนที่มีความหลากหลายทางเพศ และพนักงานบริการ และนายนพนัย ฤทธิวงศ์ เจ้าหน้าที่สื่อสารองค์กรมูลนิธิเพื่อพนักงานบริการ นำรายชื่อเครือข่ายภาคประชาชน 134 ชื่อ เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผ่านนางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อขอให้ศึกษาและประสานกรมราชทัณฑ์ ให้นักโทษในเรือนจำที่เป็นคนข้ามเพศ ได้รับสิทธิในการเข้าถึงฮอร์โมน
นายศิริศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันในบางเรือนจำจะมีการแยกนักโทษที่เป็นคนข้ามเพศ โดยคนที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศแล้ว ให้อยู่รวมกับนักโทษหญิง ส่วนคนที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศ ยังมีการขังรวมกับนักโทษชาย เพียงแต่มีการแยกห้อง แต่ทั้งหมดยังมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงฮอร์โมน โดยทางกรมราชทัณฑ์จะมองในมุมเรื่องความสวยงาม จึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น ทั้งที่ข้อเท็จจริงนั้นคนที่ยังไม่ผ่าตัดแปลงเพศ ก่อนเข้าเรือนจำมีการเริ่มใช้ฮอร์โมน เมื่อต้องหยุดกินฮอร์โมนก็จะทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวน
นายศิริศักดิ์ กล่าวว่า ขณะที่คนที่ผ่าตัดแปลงเพศแล้ว ไม่มีลูกอัณฑะที่เป็นตัวผลิตฮอร์โมน ก็จะเหมือนผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองก็ต้องได้รับฮอร์โมน ที่ก็เป็นตัวเดียวกับที่คนข้ามเพศใช้อยู่ แต่หากขาดฮอร์โมนก็จะมีปัญหาเรื่องอารมณ์และสุขภาพ ผมร่วง น้ำหนักเพิ่มขึ้น บางรายอารมณ์แปรปรวนจนอาจเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาท จึงอยากให้กรรมการสิทธิ์ฯ ช่วยเหลือและจัดการปัญหาเหล่านี้ ให้ผู้ต้องขังที่เป็นคนข้ามเพศสามารถเข้าถึงฮอร์โมน และบริการสาธารณสุขด้านอนามัยเจริญพันธุ์ ให้ผู้ต้องขังทุกกลุ่มได้มีส่วนร่วมในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องความรุนแรงและสุขภาพในเรือนจำ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน และความหลากหลายทางเพศ แก่เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ และทุกคนในเรือนจำ ให้กรมราชทัณฑ์มีนโยบายให้ทุกเรือนจำปฏิบัติกับผู้ต้องขังทุกเพศตามหลักสิทธิมนุษยชน
“จากสถิติเมื่อ พ.ค. ปี 61 ในจำนวนผู้ต้องขังทั่วประเทศประมาณ 364,000 คน มีคนข้ามเพศที่เป็นผู้ต้องขัง 4,362 คน ซึ่งฮอร์โมนสำหรับคนข้ามเพศถือเป็นสิ่งจำเป็น เหมือนกับผ้าอนามัยที่เป็นของจำเป็นสำหรับผู้หญิง และการที่ผู้ต้องขังที่เป็นคนข้ามเพศ ไม่สามารถเข้าถึงฮอร์โมนได้ ยังกลายเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่เรือนจำแสวงหาผลประโยชน์ จากการสัมภาษณ์ผู้ต้องขัง บางคนบอกว่าหากต้องการใช้ฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด ที่ซื้อได้ในราคา 30 บาท เจ้าหน้าที่เรือนจำไปหามาให้ได้ แต่จะคิดราคาสูงถึง 500 บาท โดยใช้แลกเปลี่ยนกับสินค้าในสหกรณ์ที่ผู้ต้องขังมีสิทธิได้รับ” นายศิริศักดิ์ กล่าว
นายศิริศักดิ์ ยังได้ขอให้คณะกรรมการสิทธิฯ ตรวจสอบกรณีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ไม่อนุญาตให้นักศึกษาที่เป็นผู้ชายข้ามเพศ และผู้หญิงข้ามเพศ แต่งเครื่องแบบนักศึกษาและชุดครุยวิทยฐานะบัณฑิตตามเพศสภาพ โดยอ้างว่าหากแต่งกายตามเพศสภาพจะถือว่าแต่งกายไม่สุภาพเรียบร้อย และอาจทำให้ถูกหักคะแนนความประพฤติ ซึ่งอาจทำให้หมดสิทธิ์สอบ
ด้านนางอังคณา กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ก็มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น กรณีคนข้ามเพศก็จะมีการแยกห้องให้ รวมถึงสับเปลี่ยนเวลาในการอาบน้ำ แต่เรื่องการใช้ฮอร์โมน ทางเรือนจำยังมองเรื่องความสวยความงาม ไม่ใช่เรื่องของสุขภาพ ทางกรรมการสิทธิฯ จึงขอที่จะไปศึกษาก่อน เพราะก่อนหน้านี้ เคยแต่ประสานกับทางเรือนจำกรณีผู้ต้องขังที่ต้องรับยาต้านเชื้อเอชไอวี จนทางเรือนจำยอมให้ผู้ต้องขังเก็บยาไว้กับตัว เพื่อที่จะได้ทานยาตรงตามเวลา
สำหรับกรณีการแต่งกายของนักศึกษาข้ามเพศ นางอังคณา กล่าวว่าเคยมีข้อเสนอไปหลายครั้ง และในหลายสถาบันการศึกษาก็มีการเปิดกว้างให้นักศึกษาแต่งกายตามเพศสภาพ ขนาดรัฐสภาก็มีการอนุญาตให้ ส.ส.แต่งกายตามเพศสภาพได้ ซึ่งปัญหาที่มีการร้องเรียนก็จะมีการประสานไปยังมหาวิทยาลัยต่อไป.-สำนักข่าวไทย