หอประชุม ทีโอที แจ้งวัฒนะ 19 มิ.ย.-“พรรณิการ์” เปิดใจยอมรับภาพไม่เหมาะสม หลังโซเชียลวิจารณ์โพสต์ข้อความและภาพไม่เหมาะสม รับเสียใจเหตุที่เกิดขึ้น กระทบครอบครัว ขอให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย
น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ เปิดใจครั้งแรก หลังมีกระแสวิจารณ์พฤติกรรมในเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า สถานการณ์การเมือง ขณะที่ตนเข้าศึกษาคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 1 ปี 2549 เป็นช่วงที่การเมืองมีความร้อนแรง และตนมีความสนใจการเมืองอยู่แล้ว ซึ่งการถ่ายรูปในช่วงรับปริญญา มีหลายภาพ แต่ภาพที่เป็นประเด็นขึ้นมา ยอมรับว่าไม่เหมาะสม ทำให้หลายคนไม่สบายใจ โดยเฉพาะโซเชียลที่ทะเลาะกัน ถกเถียงกัน พร้อมยอมรับว่าเสียใจ และไม่สบายใจ เพราะกระทบไปถึงพ่อ ครอบครัว และเพื่อน
ส่วนกรณีที่ถูกยื่นฟ้องความผิดตามมาตรา 112 และสอบจริยธรรมร้ายแรงนั้น น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย และพร้อมเข้าชี้แจง แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 หรือไม่ และยังไม่ได้พูดคุยกับฝ่ายกฎหมายของพรรค เพราะต้องรอทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน
โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ยังยืนยันจุดยืนของพรรค ว่า ไม่ต้องการให้นำประเด็นเรื่องสถาบันมาโจมตีทางการเมือง พรรคต้องการทำการเมืองแบบใหม่ และมุ่งหวังว่าสิ่งที่พรรคชี้แจงกับประชาชนมาโดยตลอด จะทำให้สังคมเกิดความเข้าใจ พร้อมเชื่อมั่นว่าผู้สนับสนุนของพรรคจะเข้าใจในประเด็นนี้ เพราะที่ผ่านมา พรรคก็ถูกโจมตีในลักษณะนี้มาโดยตลอด ทั้งนี้พรรคไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษมีเพียงแต่ไม่ให้ ส.ส. และสมาชิกพรรคโพสต์ภาพ หรือข้อความโจมตีใคร
เมื่อถามว่า โพสต์ว่าพรีโฮจิมินห์ หมายถึงอะไร น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เป็นประวัติศาสตร์เวียดนาม มีความชัดเจนในตัวเอง ภาพที่ถ่ายเล่น ๆ นั้นสวมหมวกเวียดนาม ถือตราสัญลักษณ์ จึงโพสต์โยงไปถึงประวัติศาสตร์เวียดนาม ซึ่งต่างจากประวัติศาสตร์ไทย เส้นทางของคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม ประชาธิปไตยในไทย ไม่ได้ซ้อนทับกัน ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้
“เป็นเรื่องที่จำบริบทตอนโพสต์ไม่ได้แล้ว เป็นการถ่ายกันเล่น ๆ ในที่ทำงาน ซึ่งในสถานีโทรทัศน์จะมีการตั้งตราสัญลักษณ์อยู่แล้ว การที่โพสต์เฟซบุ๊กเป็นความรับผิดชอบอยู่แล้ว การโพสต์ในสมัยก่อนอาจจะเข้มข้นหรือรุนแรงกว่านี้ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป การเดินทางทางความคิดก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าย้อนกลับไปจะแก้ไขอะไรหรือไม่นั้น อดีตเป็นเรื่องของอดีต ปัจจุบันเป็นเรื่องปัจจุบัน การตัดสินในปัจจุบันเป็นสิ่งที่วิญญูชนทำกัน การเดินทางของนักศึกษาเดือนตุลาฯ เข้าป่า มีความสุดโต่ง เวลาผ่านไปอีก ก็เรียนรู้ว่าไม่ใช่แล้วก็กลับมา รัฐบาลในยุคนั้น ก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญ เพราะไม่ได้จำกัดพื้นที่ความคิดแตกต่าง แต่ให้พื้นที่คนเหล่านี้กลับมากลายเป็นภูมิปัญญาของประเทศ ที่สำคัญสังคมจะอยู่อย่างสมานฉันท์ได้ ไม่ใช่การยึดความคิดทั้งหมดไว้ ไม่ให้พื้นที่คนเห็นต่าง แต่ต้องให้พื้นที่ทุกคน อย่างกรณีของดิฉันนั้น ไม่ถือว่าสุดโต่ง การตั้งคำถามถึงจุดยืนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทางการเมือง ซึ่งตอนนั้นนิสิตนักศึกษาต่อต้านการรัฐประหารมาก แต่ถูกป้ายสีว่าไม่จงรักภักดี โดยไม่มีทางแก้ตัว จนสังคมตัดสินไปแล้ว ตอนนั้นจึงตั้งคำถามกับการใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมือง ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนของสังคมนี้ คือ การใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทำลายกันทางการเมือง” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย