รัฐสภา 6 ธ.ค.-“พรรณิการ์” หวัง “เพื่อไทย” ไม่เอา “ทักษิณ” เป็นมูลเหตุจูงใจร่างกม.นิรโทษกรรม เผย “อนาคตใหม่-ก้าวไกล” บางคนไม่รับสิทธิ์นิรโทษ หวั่นข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน มั่นใจไม่ผิด ชี้นักโทษทางความคิดไม่ได้ก่ออาชญากรรม
น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า อดีตสส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีการเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า ความเคลื่อนไหวเป็นไปในเชิงบวก ตั้งแต่พรรคก้าวไกลเสนอเป็นนโยบายหาเสียง ตนในฐานะผู้ช่วยหาเสียงได้พูดเรื่องนี้ต่อเนื่อง ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีความเห็นแตกต่าง
“ส่วนนายทักษิณ ชินวัตร จะเป็นเหตุผลให้พรรคเพื่อไทยยกมือโหวตให้พ.ร.บ.ของพรรคก้าวไกลหรือไม่นั้น หวังว่าจะไม่เป็นมูลเหตุจูงใจให้พรรคเพื่อไทย แต่เป็นกรณีของประชาชนทั่วไปที่ติดคุกอยู่วันนี้ ที่จะเป็นมูลเหตุจูงใจให้พรรคเพื่อไทยและทุกพรรคการเมืองเห็นความสำคัญว่าเราจะปล่อยผู้ต่อสู้ทางการเมืองที่มีความเห็นต่างติดคุกแบบนี้ต่อไปหรือไม่ ดิฉันหวังใจว่ากรณีของคุณทักษิณ จะไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยเลยแม้แต่น้อย” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
เมื่อถามว่าคดีของนายทักษิณส่วนใหญ่เป็นคดีทุจริตจะเข้าข่ายหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า หากติดตามแนวทางพรรคก้าวไกล จะไม่ได้มุ่งฐานความผิดเป็นสิ่งสำคัญ แต่มุ่งที่มูลเหตุจูงใจว่าคดีที่บุคคลนั้นโดนมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่อย่างไร จึงต้องมีคณะกรรมการที่เป็นตัวแทนของทุกฝ่ายมาพิจารณาว่ามูลเหตุจูงใจในทางการเมืองในคดีต่าง ๆ เหล่านั้นหรือไม่ ส่วนนายทักษิณจะเข้าข่ายหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการว่าจะพิจารณาว่ามีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่
สำหรับกรณีที่ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกลรวมคดีที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ด้วย น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่าจุดประสงค์การออกร่าง พ.ร.บ.ของพรรคก้าวไกลเพราะความขัดแย้ง ความแตกแยกในสังคมไทยที่ดำเนินอยู่ เกิดจากความแตกต่างทางความคิด หนึ่งในนั้นแสดงออกผ่านการฟ้องร้องการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับคดี ม.112 ดังนั้น หากเราต้องการออกร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งและเดินหน้าร่วมกันบนความคิดเห็นที่แตกต่าง คือการละเว้น ม.112 ออกไปจากพ.ร.บ. นิรโทษกรรมจะไม่บรรลุผล
“ดิฉันเห็นด้วยกับที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวไว้ทุกประการ เพราะเป็นเรื่องที่ดีที่สังคมจะก้าวต่อไปบนประชาธิปไตยที่อยู่กันบนความแตกต่างหลากหลายได้ จำเป็นต้องคลี่คลายความขัดแย้งในอดีต ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทำผิดจะไม่ต้องรับโทษ แต่ต้องยอมรับว่าคดีต่างๆที่ถูกดำเนินการ โดยมีเป้าประสงค์ทางการเมืองที่เกิดจาก ความคิดที่แตกต่างกัน หรือภาษาสากลเรียกว่านักโทษทางความคิด คือไม่ได้ก่ออาชญากรรมแต่มีความเห็นที่แตกต่างจากรัฐ หรือผู้มีอำนาจรัฐ จึงเป็นที่มาที่ทำให้ถูกดำเนินคดีอาญา เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ควรมีการนิรโทษกรรมและมาเริ่มต้นพูดคุยกันใหม่
เมื่อถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลอาจจะเสนอร่างมาประกบ ม.112 จะไม่ถูกผลักดันหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า หลายพรรคไม่ได้คัดค้านเรื่องพ.ร.บ.นิรโทษกรรม แต่ไม่ต้องการให้รวมคดี ม.112 ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มีความเห็นแตกต่างกัน ในสภาฯ ก็สามารถถกเถียงกันได้ คิดว่าคงเป็นไปตามกระบวนการ การที่พรรคการเมืองจะเสนอร่างประกบถือเป็นเรื่องดี เพราะหากมีร่างประกบหมายความว่ามีจุดที่เห็นตรงกันด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งร่างมาประกบ เป็นกลไกที่ต้องต่อสู้กันในสภาฯ หากพรรคก้าวไกลได้เสียงไม่พอก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ในกระบวนการ แต่อย่างน้อยข้อเสนอของพรรคก้าวไกลเป็นสิ่งที่ตนและประชาชนจำนวนมากในสังคมเห็นด้วย อย่างน้อยที่สุดให้มีการถกเถียงและเข้าสู่กระบวนการตามปกติของสภาฯ
ส่วนที่นายชัยธวัชเคยระบุว่าแกนนำพรรคอนาคตใหม่จนถึงพรรคก้าวไกลบางคนเคยขอสละสิทธิ์ไม่เข้าสู่กระบวนการนั้น น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เราได้พูดคุยกันมาตลอดการเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ว่าจะจัดทำร่างดังกล่าว สิ่งแรกที่คิดและระมัดระวังอย่างมากคือเรื่องนี้จะเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ เพราะมีบุคลากรของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลจำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจเข้าข่ายได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.นี้ เราตระหนักเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกในการกระทำนโยบายและ พ.ร.บ. เพื่อให้กฎหมายนี้สามารถดำเนินหน้าต่อไป แล้วตัวเองสามารถตอบสังคมได้อย่างถูกต้องตามหลักการ คือป้องกันข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน
“อีกเหตุผลหนึ่งคือเรามีความจำเป็นจริง ๆ ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยกระบวนการยุติธรรมเพราะเราเชื่อว่าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย การพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม เราเชื่อว่าอาจจะทำให้เราได้รับความเป็นธรรมได้ เราไม่ต้องให้ผลประโยชน์ทับซ้อนนี้ขัดขวางการทำให้ พ.ร.บ.นี้ไปสู่จุดหมายปลายทาง” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
ส่วนสส.ก้าวไกลปัจจุบันจะไม่ขอรับสิทธิ์ด้วยหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ต้องเป็นการตัดสินใจของเจ้าตัวเอง สส.ก้าวไกลปัจจุบันหลายคน ขณะที่ถูกคดีเป็นประชาชน เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นสส.แล้ว มีการบอกว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ตนคิดว่าไม่เป็นธรรม ต่างกับที่พวกเราพรรคอนาคตใหม่โดน เราเป็น สส.แล้วทั้งหมด และเรื่องนี้ไม่ใช่โมเดลระดับพรรค แต่เป็นการตัดสินใจระดับบุคคล เพราะสุดท้ายแล้วสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน หากใครต้องการแสวงหาความเป็นธรรม ให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรม เราก็ไม่ควรปิดกั้น.-312.-สำนักข่าวไทย