สำนักข่าวไทย 18 มิ.ย.-สพฐ.สั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยไม่ร้ายแรงกับผอ.-ครู ปมปล่อยให้เด็ก ป.2 เเละเพื่อนล่วงละเมิดเด็กอนุบาลวัย 5 ขวบในโรงเรียนเเห่งหนึ่งใน จ.อุบลฯ ชี้เรื่องเกิดในโรงเรียน เเต่โรงเรียนก็มีมาตรการ ถือไม่ประมาทเลินเล่อร้ายแรง
ว่าที่ ร.ต.ธนุ วงษ์จินดา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเด็กหญิงวัย 5 ขวบถูกเพื่อนเเละรุ่นพี่ ป.2โรงเรียนประถมศึกษาเเห่งหนึ่งในใจ.อุบลราชธานี ล่วงละเมิดทางเพศว่า ตนได้รับรายงานผลการสืบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง ที่มี นายธีร์ ภวังคนันท์ หัวหน้าศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนเป็นประธานเรียบร้อยแล้ว ซึ่งรายละเอียดเชิงลึกไม่สามารถบอกได้ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเด็ก แต่เฉพาะข้อมูลจากการที่คณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง ลงไปพื้นที่ไปเก็บข้อมูลสืบพยานจากผู้เกี่ยวข้องทั้งที่โรงเรียน และใช้ข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการเป็นหลัก ซึ่งพบว่าโรงเรียนมีมาตรการดูแลนักเรียนและปฏิบัติตามนโยบายของ สพฐ.ค่อนข้างดี เช่น การแยกโซนเด็กอนุบาล เด็กประถมศึกษาชัดเจน ช่วงพักกลางเป็นคนละเวลา เป็นต้น
ส่วนเหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงเรียนจริงหรือไม่ จากการสืบข้อเท็จจริงก็ยืนยันว่าเหตุเกิดขึ้นที่โรงเรียน แต่ช่วงที่เกิดเหตุคาดว่าเป็นช่วงพักเที่ยงที่ ผอ.โรงเรียน หรือครูอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง เพราะเด็กมีจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลดังกล่าวตนได้สั่งการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลไปดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยไม่ร้ายแรง ผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดอาทิ ครูเวร ครูประจำชั้น ส่วนจะกี่รายขึ้นอยู่กับ สพป.อุบลราชธานี เขต 3 ที่ดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยไม่ร้ายแรง การที่ให้ตั้งสอบวินัยไม่ร้ายเเรงนั้น เนื่องจากโรงเรียนเองก็มีมาตรการในการดูแลเด็ก ไม่ได้ประมาทเลินเล่อร้ายแรง ซึ่งโทษของวินัยไม่ร้ายแรงมีตั้งแต่ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน และลดขั้นเงินเดือน
ว่าที่ ร.ต.ธนุ กล่าวต่อว่า ส่วนผลการสืบข้อเท็จจริงชุดของ สพป.อุบลราชธานี เขต 3 ตนยังไม่ได้รับรายงาน แต่เบื้องต้นสพป.อุบลราชธานี เขต 3 แจ้งว่ารอข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการ ส่วนการดำเนินการกับ ผู้อำนวยการ สพป.อุบลราชธานี เขต 3กรณีไม่รายงานเรื่องมายัง สพฐ.และดำเนินการล่าช้า นั้นเบื้องต้น ตรวจสอบแล้วพบว่าตั้งแต่เกิดเหตุมีการรายงานมายัง สพฐ.1ครั้ง ซึ่งนานมากแล้ว แต่อ้างว่ารอเอกสารต่างๆ จึงไม่ได้รายงาน ซึ่งกรณีนี้ไม่ถึงขั้นผิดวินัยแต่จะได้ว่ากล่าวตักเตือนว่าต่อไปหากเกิดเหตุลักษณะนี้ให้เร่งรายงานโดยเร็ว นอกจากนี้ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการ กพฐ.ได้กำชับให้ไปทบทวนมาตรการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้เข้มข้น ว่ามีจุดอ่อนตรงไหน และปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อใช้ในการดูแลนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ .-สำนักข่าวไทย
