รพ.จิตเวชโคราช พบโรคจิตเภทฆ่าตัวตายสูงถึงร้อยละ 15

สธ.24 พ.ค.-เนื่องในวันที่ 24 พ.ค.ของทุกปีเป็นวันจิตเภทโลก  รพ.จิตเวชนครราชสีมาฯ เผยโรคจิตเภทเป็นการเจ็บป่วยทางจิตที่รุนแรง มีปัญหาฆ่าตัวตายสูงถึงร้อยละ15 เสี่ยงทำร้ายตัวเองสูงกว่าคนทั่วไป 12 เท่าตัว จากอาการจิตหลอน หูแว่วของตัวเอง เร่งป้องกันโดยพัฒนาเทคโนโลยีชื่อ“เจวีเคเอสทูไฟว์” เป็นแบบคัดกรอง 5 สัญญาณอาการหูแว่วและความคิดที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ผลการทดลองใช้ในรพ.จิตเวชฯให้ผลป้องกันได้ดีมาก 


นพ.กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการโรงพยาบาล(รพ.) จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ จ.นครราชสีมา ให้สัมภาษณ์ว่าวันที่ 24 พฤษภาคมทุกปี องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นวันจิตเภทโลก( World Schizophrenia Day) ซึ่งโรคจิตเภทเป็นการเจ็บป่วยทางจิตที่รุนแรงเรื้อรังพบมากที่สุดประมาณร้อยละ70ในกลุ่มผู้ป่วยโรคจิตทั้งหมด   สาเหตุเกิดจากสารสื่อประสาทในสมองทำงานผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยมีความผิดปกติทั้งความคิด การรับรู้ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงทำให้มีอาการมีหูแว่วและประสาทหลอน เกิดความทุกข์ทรมาน ส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ตลอดช่วงชีวิตของประชาชนจะพบอัตราป่วยโรคนี้ได้ประมาณร้อยละ 1 มักพบในช่วงอายุ 15-35 ปี   ในพื้นที่ 4 จังหวัดในเขตสุขภาพที่     9  ได้แก่นครราชสีมา  ชัยภูมิ บุรีรัมย์และสุรินทร์ ซึ่งอยู่ในความดูแลของรพ.จิตเวชนครราชสีมาฯ คาดจะมีผู้ป่วยประมาณ 35,000 คน อัตราการเข้าถึงบริการขณะนี้สูงขึ้น ครอบคลุมผู้ป่วยร้อยละ 83 


“ปัญหาสำคัญที่พบในผู้ป่วยโรคจิตเภทที่ต้องเร่งแก้ไขป้องกันขณะนี้คือ การฆ่าตัวตาย จากการวิเคราะห์ข้อมูลการฆ่าตัวตายในประเทศที่มีปีละประมาณ 4,000 ราย พบว่าร้อยละ 15 เป็นผู้ป่วยโรคจิตเภท  โดยผลวิจัยทั่วโลกพบว่าผู้ป่วยโรคนี้มีความเสี่ยงทำร้ายตัวเองสูงกว่าคนทั่วไป 12 เท่าตัว  สาเหตุเกิดมาจากอาการหูแว่วและประสาทหลอนของผู้ป่วยเอง เช่นได้ยินเสียงคนสั่งให้ฆ่าตัวตายหรือดุด่าอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นลักษณะที่พบเฉพาะผู้ป่วยทางจิต และบางรายอาจมีประวัติพยายามทำร้ายตัวเองด้วย” นายแพทย์กิตต์กวีกล่าว

พญ.กรองกาญจน์ แก้วชัง รองผู้อำนายการด้านการแพทย์ และประธานทีมนำทางคลินิก ของโรงพยาบาลฯ กล่าวว่า จากการทบทวนหารากเหง้าของปัญหาการฆ่าตัวตายของผู้ป่วยโรคจิตเภท พบว่าขาดเครื่องมือในการคัดกรองความเสี่ยงการฆ่าตัวตายที่เกิดจากอาการทางจิตโดยเฉพาะ  และใช้เครื่องมือที่ไม่ตรงกับโรค  รพ.จิตเวชนครราชสีมาฯจึงได้เร่งป้องกันปัญหา โดยพัฒนาเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า เจวีเคเอสทูไฟว์ (JVKss5) เป็นแบบสัมภาษณ์คัดกรองสัญญาณอาการหลอนทางจิตของผู้ป่วยโรคจิตเภทและโรคจิตที่เสี่ยงฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเองเป็นการเฉพาะ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีใช้มาก่อน เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ในการเฝ้าระวังผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที   ประกอบด้วย 5 คำถามสั้นๆ เกี่ยวกับอาการหูแว่ว และความคิดที่ผิดปกติของผู้ป่วยว่ามีหรือไม่ ดังนี้ 1.มีเสียงสั่งให้ไปตาย/ทำร้ายตนเอง และ2.มีเสียงด่า ว่า ตำหนิ รุนแรง จนคิดถึงการทำร้ายตนเอง 3.กลัวคนทำร้าย หรือกลัวเสียงแว่ว หรือกลัวภาพหลอนที่เห็นเองคนเดียว  4. คิดว่าตนเองเป็นคนชั่ว เลว บาป อภัยไม่ได้     และ5.คิดว่ามีคนมาควบคุมให้ทำร้ายตนเอง รวมทั้งถามประวัติพฤติกรรมการทำร้ายตนเองในอดีตและในสองอาทิตย์ที่ผ่านมาประกอบด้วย 


สำหรับในการแปลผลความเสี่ยงจะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือระดับน้อย คือไม่มีอาการทางจิต ระดับปานกลางคือมีอาการทางจิตแต่ผู้ป่วยยังทนได้  และระดับมากคือมีอาการทางจิตและผู้ป่วยควบคุมอาการตัวเองไม่ได้  ผลทดลองใช้กับผู้ป่วยจิตเภทที่แผนกห้องฉุกเฉินในรพ.จิตเวชนครราชสีมาฯนอกเวลาราชการในปี 2560 จำนวน 480 คน พบผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงระดับน้อยคือไม่มีอาการทางจิตจำนวน 324 คนสามารถให้ยากลับไปรับประทานที่บ้านได้  และพบมีอาการทางจิตระดับปานกลางและมาก  จำนวน 156 คนหรือร้อยละ 33 แพทย์ได้รับตัวไว้ดูแลในโรงพยาบาล จัดระบบดูแลเฝ้าระวังป้องกันเป็นพิเศษและใช้แบบสัมภาษณ์นี้ประเมินซ้ำอย่างต่อเนื่อง  พบว่าผู้ป่วยที่ผ่านการคัดกรองด้วย “เจวีเคเอสทูไฟว์” ไม่พบว่าฆ่าตัวตายสำเร็จจากอาการทางจิต

ทั้งนี้ ในปี2562 นี้ได้ขยายผลใช้แบบคัดกรองที่กล่าวมาทั้งที่แผนกห้องฉุกเฉิน แผนกผู้ป่วยนอก และหอผู้ป่วยในทุกหอซึ่งมีผู้ป่วยจิตเภทอาการรุนแรงพักรักษาฟื้นฟูเฉลี่ยเดือนละ 140 คนหรือเกือบครึ่งของผู้ป่วยในทั้งหมด พบว่าการใช้ง่าย  ได้ผลดีมาก  สามารถป้องกันการฆ่าตัวตายได้ 100 เปอร์เซ็นต์  และยังได้ขยายผลใช้ป้องกันในเรือนจำ 12 แห่งในเขตสุขภาพที่ 9 ด้วย โดยจะประเมินผลแบบคัดกรองในปลายปีนี้ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ จากนั้นจะขยายผลใช้ในรพ.และชุมชนทุกแห่งในเขตสุขภาพที่ 9 ในปีหน้านี้ เพื่อเป็นแนวทางดูแลผู้ป่วยโรคจิตเภทและผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตที่เสี่ยงฆ่าตัวตายเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งเขต  ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในระดับประเทศได้เช่นกัน มั่นใจว่าจะทำให้จำนวนผู้ฆ่าตัวตายจากสาเหตุอาการทางจิตลดลง .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่ม 31 ซิ่งเก๋งชนไรเดอร์ดับคาที่ หลังมีปากเสียงเรื่องขับเฉี่ยวชน

หนุ่มไทยเชื้อสายอินเดีย ลูกเจ้าของร้านขายผ้าซิ่งเก๋งชนไรเดอร์ดับ ริมถนนสุขุมวิท หลังมีปากเสียงเรื่องขับรถเฉี่ยวไม่ลงมาเจรจา

พ่อพาญาติเยี่ยมลูกชายลูกครึ่งอินเดีย ขับรถชนไรเดอร์ดับ

พ่อพาญาติเยี่ยมลูกชายลูกครึ่งอินเดีย ที่หัวร้อนขับรถชนไรเดอร์ดับคาที่กลางสุขุมวิท เมื่อวานนี้ พร้อมไหว้ขอสื่อ อย่ามายุ่งกับครอบครัว

จำคุกทนายเดชา

ศาลสั่งจำคุก 1 ปี “ทนายเดชา” ปมไลฟ์หมิ่น “อ.อ๊อด”

ศาลสั่งจำคุก 1 ปี “ทนายเดชา” คดีหมิ่น “อ.อ๊อด” ปรับ 1 แสนบาท ปมไลฟ์ด่าเสียหาย ให้รอลงอาญา โจทก์เตรียมอุทธรณ์ต่อ ขอให้ติดคุกจริง

ศาลให้ประกันหนุ่มลูกครึ่งอินเดียหัวร้อนขับรถไล่ชนไรเดอร์ดับ

ครอบครัวไรเดอร์ที่ถูกหนุ่มลูกครึ่งอินเดียหัวร้อนขับรถไล่ชนเสียชีวิต กอดกันร้องไห้รับร่างและรดน้ำศพ ด้านศาลให้ประกันตัวผู้ต้องหา วงเงิน 600,000 บาท ติดกำไล EM-ห้ามออกนอกประเทศ

ข่าวแนะนำ

สมรสเท่าเทียม

นายกฯ ส่งคลิปสารร่วมยินดีกฎหมายสมรสเท่าเทียมบังคับใช้

“แพทองธาร” นายกฯ ส่งคลิปสารร่วมแสดงความยินดีกฎหมายสมรสเท่าเทียมบังคับใช้ ขอบคุณทุกภาคส่วนผ่านการต่อสู้กับอคติกว่า 2 ทศวรรษ ทำให้ ทุกตารางนิ้วของประเทศไทยโอบรับความหลากหลาย และเท่าเทียม

จำคุกสมรักษ์คำสิงห์

ศาลสั่งคุก 2 ปี 13 เดือน 10 วัน “สมรักษ์” พยายามข่มขืนสาววัย 17

ศาลจังหวัดขอนแก่น พิพากษาจำคุก “สมรักษ์ คำสิงห์” อดีตนักมวยฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก เป็นเวลา 2 ปี 13 เดือน 10 วัน พร้อมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวม 170,000 บาท คดีพยายามข่มขืนเด็กสาววัย 17 ปี

คึกคัก คู่รักจูงมือกันไปจดทะเบียนวันแรกกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผล

วันนี้กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการ หลายคู่รักควงแขนไปจดทะเบียนสมรสกันชื่นมื่น ที่สยามพารากอน มีคู่รักที่ลงทะเบียนมาจดทะเบียนสมรสที่นี่กว่า 300 คู่

ฝุ่น กทม.

คนกรุงจมฝุ่นต่อเนื่อง เช้านี้อยู่ระดับสีแดง 21 พื้นที่

กทม. อ่วมหนัก ฝุ่น PM 2.5 พุ่งต่อเนื่อง อยู่ระดับสีแดง ผลกระทบต่อสุขภาพ 21 พื้นที่ ย้ำสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่นอกอาคาร และงดกิจกรรมกลางแจ้ง