นนทบุรี 22 พ.ค. – กระทรวงพาณิชย์เผยสงครามการค้า ฉุดส่งออก เม.ย.ติดลบร้อยละ 2.57 มูลค่าต่ำสุดในรอบ 24 เดือน ส่งผล 4 เดือนติดลบร้อยละ 1.86
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยภาพรวมการส่งออกเดือนเมษายน 2562 ว่า แรงกดดันจากผลกระทบสงครามการค้าจีน-สหรัฐ และความต้องการสินค้าตลาดโลกลดลง ทำให้เดือนเมษายนที่ผ่านมามียอดส่งออก 18,555.6 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 2.57 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าต่ำสุดในรอบ 24 เดือนนับจากเดือนพฤษภาคม2560 โดยนำเข้า 20,012.9 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 0.72 ขาดดุล 1,457.2 ล้านดอลลาร์ และในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่าส่งออก 80,543.4 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 1.86 และนำเข้า 79,993.9 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 1.08 เกินดุล 549.5 ล้านดอลลาร์
ส่วนการที่สหรัฐขึ้นบัญชีบริษัทหัวเว่ยนั้น ผู้ส่งออกไทยบางรายผลิตชิ้นส่วนให้หัวเว่ย ผลกระทบต่อไทยจึงยังไม่มาก สหรัฐขึ้นภาษีจีน ทำให้ไทยมีโอกาสส่งออก โดยมีสินค้าไปสหรัฐ 1,500 รายการ เป็นสินค้ากลุ่มเกษตรอาหาร เครื่องเทศเครื่องปรุงรส เสื้อผ้า รองเท้า ผ้าผืน อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่จีนซื้อจากสหรัฐ ไทยมีโอกาสส่งสินค้าไปขายจีนเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารแปรรูป เคมีภัณฑ์ เป็นต้น
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า หากต้องการให้การส่งออกของไทยตลอดปีนี้โตเป็นศูนย์หรือเสมอตัว นับจากนี้ไปจะต้องมียอดส่งออกต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 21,493 ดอลลาร์สหรัฐ โดยทางสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้ามองว่ากลยุทธ์ที่ไทยจะใช้รับมือสงครามการค้าจะต้องเน้น 2 S ได้แก่ Speed & Strategy คือ ต้องแสวงหาโอกาสจากส่วนแบ่งทางการตลาดที่ลดลงจากสงครามการค้า ขณะเดียวกันต้องรักษาตลาดเดิมเอาไว้ให้ได้ ส่วนค่าเงินบาทกระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐยังไม่ปรับตัวเลขนี้
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์หารือผู้ประกอบการส่งออกมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งภาคเอกชนต้องการให้ตั้งวอร์รูมเพื่อติดตามสถานการณ์การค้าและปรับพอร์โพลิโอประเทศด้านการค้าและการลงทุนให้สอดคล้องกัน ด้านการออกไปลงทุนในต่างประเทศจะต้องเป็นการออกไปลงทุนที่ช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมในไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์จะเชิญภาคเอกผู้ส่งออกประชุมหารืออีกครั้งวันที่ 29 พฤษภาคมนี้เพื่อหารือผลกระทบส่งออก และวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะประชุมกับทูตพาณิชย์ทั่วโลก โดยจะหารือในการรับมือกับผลกระทบจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ นโยบายปกป้องทางการค้าของสหรัฐ สถานการณ์ทางการเมืองในยุโรป ตลาดสินเชื่อในจีน อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังรักษาระดับการแข่งขันไว้ได้และขยายตัวได้ดีในหลายตลาด เช่น สหรัฐ อินเดีย เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย ฮ่องกง รัสเซียและ CIS และแคนาดา สินค้าเกษตรโดยเฉพาะกลุ่มอาหารยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง เช่น ผัก ผลไม้สดแช่งแข็ง กระป๋องและแปรรูป ไก่สด แช่แข็ง สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ.-สำนักข่าวไทย