นนทบุรี 10 พ.ค. – พาณิชย์พลิกวิกฤติสงครามการค้าเป็นโอกาส เตรียมมาตรการรุกตลาดเมืองรองคู่ค้าสำคัญ
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ความเห็นถึงการที่สหรัฐเตรียมขึ้นภาษีสินค้าจีนเพิ่มเป็นร้อยละ 25 ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2562 ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์คงจะพยายามกดดันจีน เพื่อปิดดีลการเจรจาให้ได้ผลประโยชน์ตามที่สหรัฐต้องการมากที่สุด จึงต้องติดตามผลการเจรจา สำหรับสินค้าที่เข้าข่ายถูกขึ้นภาษีตามคำกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นรายการสินค้าเดียวกับที่สหรัฐเคยขึ้นภาษีจีนเมื่อ 24 กันยายนที่ผ่านมา ครอบคลุมสินค้าเกษตร ประมง สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเทคโนโลยีตามนโยบาย Made in China 2025 รวม 5,745 รายการ มูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 40 ของมูลค่าที่สหรัฐนำเข้าจากจีน
นางสาวชุติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากกลุ่มสินค้าเป็นกลุ่มเดิม ดังนั้น แม้สหรัฐจะขึ้นภาษีก็ไม่ส่งผลกระทบต่อรูปแบบการค้าไทยกับจีนและกับสหรัฐในภาพรวมมากนัก แต่อาจจะส่งผลระดับมหภาค ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงไปอีก ซึ่งจะส่งผลกระทบทางอ้อมกับไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออก อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐขึ้นภาษีจีนในวันศุกร์นี้สินค้าไทยที่อาจส่งออกไปแทนจีนเพิ่ม เช่น ยานพาหนะและส่วนประกอบ อาหารปรุงแต่งและเครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับ สินค้าเกษตร (ถั่วแห้ง แผ่นยางสดรมควัน ข้าวสี ยางแท่ง TSNR) ผักผลไม้สด แช่แข็ง แช่เย็น และแปรรูป (เช่น กล้วย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มะพร้าว ฝรั่ง มะม่วง มังคุด มะละกอ สับปะรด) อาหารทะเลแช่แข็ง และแปรรูป (เช่น ปลาทูน่าบิ๊กอาย ปลาทูน่าท้องแถบ ปลาทูน่าครีบเหลืองสดและแช่แข็ง เนื้อปลาแช่แข็ง) น้ำผึ้งธรรมชาติ อาหารสุนัข/แมว เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ที่ไม่ใช่น้ำผลไม้) เคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติก (เช่น กรดซิตริก) ตลอดจนยานยนต์และส่วนประกอบ (เช่น เครื่องยนต์สันดาปภายใน ยางรถยนต์)
ส่วนสินค้าส่งออกไปจีนที่จะเร่งส่งออกไปทดแทนการส่งออกในกลุ่มที่ลดลง อาทิ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเครื่องสำอาง อาหารปรุงแต่ง เนื้อสัตว์แช่แข็งและแปรรูป ผลไม้สดและแปรรูป ยางสังเคราะห์ และอัญมณี ซึ่งเป็นสินค้าที่ขยายตัวดีมากในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา จึงต้องเร่งขยายการเข้าไปทำตลาดในจีนเพิ่มเติม ทั้งนี้ จีนกับสหรัฐเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย 2 ประเทศรวมกันมีสัดส่วนถึงร้อยละ 25 เท่ากับอาเซียน 10 ประเทศ ไทยจึงต้องแสวงหาโอกาสจากสงครามการค้าและรักษาสัดส่วนสินค้าไทยในตลาดทั้ง 2 ซึ่งปัจจุบันกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีมาตรการรุกตลาดรองในจีนรองรับไว้แล้ว โดยจะเน้นบุกเจาะตลาดที่เป็นมณฑล รัฐ และเมืองรองมากขึ้น รวมถึงสหรัฐ อินเดีย และประเทศอื่น ๆ ที่สินค้าไทยมีโอกาส ทั้งนี้ วันที่ 31 พฤษภาคม 2562 จะมีการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศทั่วโลก เพื่อประเมินสถานการณ์และหารือแผนผลักดันการส่งออกเชิงรุกอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับระยะยาว ไทยต้องเร่งเจรจาความตกลงต่าง ๆ และเตรียมตัวเข้าสู่ mode การเจรจาหลังจากมีรัฐบาลใหม่ เพราะมิฉะนั้นจะไม่มีทางเลือกในการส่งออกภายใต้อัตราภาษีที่ต่ำเป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งปิด ส่วนความท้าทายที่สุด คือ การที่ไทยอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของจีน ทำให้การส่งออกไทยตกอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี เบื้องต้นอาจต้องเร่งขยายส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร ผลไม้ ไปจีนมากขึ้น แต่ระยะยาวต้องนำนโยบายด้านการลงทุนเข้ามาเป็นเครื่องมือ โดยดึงให้จีนเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพิ่มขึ้น คือ ให้ย้ายห่วงโซ่การผลิตย้ายมาไทยแทน โดยใช้ประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางอาเซียน+CLMVT และการเป็นศูนย์ transport and travel hub ที่รัฐบาลได้วางวิสัยทัศน์ไว้ บวกกับต้องเชื่อมโยง sector ที่ Belt and Road วางไว้ในจีนฝั่งตะวันตกที่จะเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย