กรุงเทพฯ 25 เม.ย.- อดีตที่ปรึกษา กรธ. ยืนยันเจตนารมณ์ รธน. ห้ามผู้สมัคร ส.ส.ถือครองหุ้นสื่อไม่ว่าจะมากหรือน้อย แต่ยอมรับมีช่องโหว่ที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ได้ระบุชัด กรณีผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่มีกฎหมายอื่นประกอบสามารถเอาผิดได้ พร้อมจี้ กกต.เดินหน้าคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อให้เสร็จตามกรอบเวลา ย้ำสูตร กรธ.ชัด
นายเจษฏ์ โทณวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ยืนยันว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเรื่องการถือครองหุ้นสื่อชัดเจน และเรื่องนี้มีในรัฐธรรมนูญฉบับเดิมอยู่แล้ว แต่มีการขยับจากที่บังคับใช้กับ ส.ส.มาเป็นบังคับใช้กับผู้สมัคร ส.ส.เลย จะได้ไม่ยุ่งยาก และถูกร้องตอนเป็น ส.ส. ดังนั้น ใครก็แล้วแต่ที่จะสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. จะต้องปฏิบัติตาม โดยตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองว่า เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ต้องไม่ลืมว่า รัฐธรรมนูญที่ออกมามีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 6 เมษายน 2560 ฉะนั้น ใครก็ตามที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง จะต้องดูลักษณะต้องห้ามและคุณสมบัติให้ครบถ้วนก่อนสมัคร
อย่างไรก็ตาม นายเจษฎ์ ยอมรับว่า กรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไม่มีกำหนดไว้ ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีกำหนดไว้เฉพาะในส่วนของ ส.ส.เขต แต่หากพิจารณา พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง มาตรา 41 จะเห็นว่า หาก กกต.มีข้อมูลหรือมีเหตุอันควรเชื่อ หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง หรือผิดกฎหมายพรรคการเมือง ก็สามารถดำเนินการได้ โดยเชื่อมโยงกับมาตรา 151 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่ระบุว่า ผู้ใดทราบอยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติ ยังไปสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ว่าในระบบเขตหรือบัญชีรายชื่อ ถือว่ามีความผิด มีโทษจำคุก1-10ปี ปรับ 20,000-200,000บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี ซึ่งหากเชื่อมโยงกัน กกต.ก็สามารถดำเนินการได้
นายเจษฎ์ ยืนยันว่า ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะถือครองหุ้นสื่อมากหรือน้อย ก็เข้าข่ายผิดทั้งหมด เหตุที่จะต้องเอาหุ้นเล็กๆ น้อยๆ ด้วย ก็เหมือนเวลาที่เราขับรถเร็วเกินกว่ากำหนด สมมติว่ากำหนดไว้ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หาก 101 ถึง 200 ก็ถือว่าผิดกฎหมายหมด จะบอกว่าไม่ผิดไม่ได้ ดังนั้น ไม่ใช่ว่าจะไม่จับรายเล็กรายน้อย หรือไม่ดำเนินการกับคนที่ถือหุ้นเล็กน้อย แล้วไปดำเนินการกับคนที่ถือหุ้นมาก ๆ ต้องดำเนินการทั้งหมด
“แต่จะมีข้อมูลหรือไม่ พวกนักร้องทั้งหลายมีความสำคัญ จะรอให้ กกต.เห็นเองคงยาก ท่านเป็นผู้ที่รู้ตัวดีที่สุด การที่จะบอกว่าภายในบริคนสนธิของบริษัทนั้น ลอก ๆ กันมาคงไม่ได้ เพราะท่านต้องการจะขยายผล ต้องการเปิดช่องในการทำธุรกิจให้มาก ตอนนั้นท่านไม่ลืม ตอนทำธุรกิจ เขาเรียกท่านไปชี้แจง ท่านรู้และอธิบายได้หมด แต่ตอนมาสมัคร ส.ส.กลับลืมวัตถุประสงค์ของตัวเอง เป็นไปไม่ได้ และคนที่ถือหุ้น ก็ต้องรู้ว่าบริษัทนั้นทำอะไรอยู่ ท่านต้องตรวจสอบ ท่านต้องตรวจตัวท่านเอง ท่านต้องเปิดดูเลยมาตรา 98 จะบัญญัติไว้ว่า ส.ส.จะต้องมีอะไรบ้าง ไม่มีอะไรบ้าง มันไม่ได้มีมากข้อเลย ต้องตรวจสอบให้ชัด แล้วไม่ได้แปลว่า เป็นบทเด็ดขาด ในหลายๆ เรื่องก็ให้เวลาท่าน” นายเจษฎ์ กล่าว
นายเจษฎ์ ยังกล่าวถึง กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ว่า เป็นเรื่องที่ กกต.จะต้องดำเนินการตามที่นายประพันธ์ นัยโกวิท อดีต กรธ. ระบุ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย โดยนำจำนวนพึงมีไปลบ ส.ส.เขต หากพรรคไหนไม่ได้ ส.ส.เขตก็เท่ากับศูนย์ ก็นำจำนวน ส.ส.พึงมีไปลบศูนย์ แล้วนำจำนวนนั้นมาคำนวณเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ หากไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้ จึงค่อยตัดทิ้ง ดังนั้น กกต.จะต้องตั้งมั่นในการทำหน้าที่คำนวณ และประกาศรับรอง ส.ส.ให้ครบจำนวนร้อยละ 95 ภายในวันที่ 9 พฤษภาคม นี้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกร้อง เพราะไม่ว่าคำนวณออกมาอย่างไร ก็ไม่สามารถถูกใจได้ทุกคน ..- สำนักข่าวไทย