กรุงเทพฯ 22 เม.ย. – “สมคิด” พบเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้งนิ่ง สั่ง ขรก.กระทรวงอุตฯ
ทำงานเต็มที่พร้อมทำงานกับรัฐบาลใหม่
และสั่งการให้เอสเอ็มอีแบงก์อัดฉีดเงินหนุนเอสเอ็มอีในช่วง 3 เดือนนี้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยระบุว่าหลังจากเลือกตั้งพบว่าภาพรวมเศรษฐกิจนิ่งลักษณะ “Sleeping Beauty” โตลดลงเหลือกว่าร้อยละ
3 จากที่เติบโตระดับร้อยละ 4 ซึ่งไม่ต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตชะลอลง ดังนั้น
จึงขอให้ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่องแม้อยู่ในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลปัจจุบันไปสู่รัฐบาลใหม่
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอีและธุรกิจสตาร์ทอัพเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุด
นายสมคิด ยังได้ขอให้ธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
(เอสเอ็มอีแบงก์) จัดทำมาตรการอัดฉีดเงินให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีภายใน 3 เดือนนี้
เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะเดินหน้าใหม่ต่อทันทีที่รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
พร้อมกันนี้ขอให้เดินหน้ากระบวนการเปลี่ยนผ่านภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ยุคดิจิทัล
ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 โดยสั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดทำมาตรการแบบครบวงจรเชิงบังคับและจูงใจภาคเอกชนไทยให้มีนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการทำธุรกิจมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น IoT
, Big Data และการจัดทำบัญชีเดียว เป็นต้น และนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.)
เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป เพราะหากไม่ทำผู้ประกอบการไทยจะไม่สามารถแข่งขันได้ นอกจากนี้
ยังขอให้เดินหน้าเตรียมความพร้อมของบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด
ที่จะทำหน้าที่พัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและธุรกิจสตาร์ทอัพ
ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม วางรูปแบบการทำงานกับพันธมิตรภาครัฐ ภาคเอกชน
และพันธมิตรต่างประเทศ พร้อมมีคณะผู้บริหารบริษัทภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ก่อนรัฐบาลใหม่จะเข้ามาบริหารประเทศและต้องพร้อมขอรับการจัดสรรงบประมาณปี
2563
ด้านการสร้างมาตรฐาน ยกระดับ
ปรับทักษะบุคลากร ให้รองรับระบบเศรษฐกิจ 4.0 นายสมคิด ได้เน้นย้ำให้การทำงานบูรณาการกับภาครัฐ
ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาและกระทรวงแรงงาน โดยดำเนินการภายใต้โครงการส่งเสริมการปฏิรูป
SMEs สู่ 4.0 ด้วย Industrial
Transformation Platform ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างขอการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมรวม
8,629 ล้านบาท
ด้านลดปัญหาฝุ่นละออง P.M.2.5
โดยเฉพาะฝุ่นละอองจากอ้อยไฟไหม้ เพราะชาวไร่อ้อยใช้วิธีเผาไร่อ้อยในกระบวนการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่เป็นปัญหาสืบเนื่องจากหลายปัจจัยทั้งการขาดแคลนแรงงานและปัจจัยอื่น
ๆ โดยนายสมคิด
ได้ย้ำให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เดินหน้ามาตรการลดการเผาอ้อยให้ได้ตามกรอบระยะเวลา
3 ปีนับจากนี้ไปภายใต้งบประมาณช่วยเหลือ 2,000 ล้านบาทในรูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ชาวไร่อ้อย
สำหรับอุตสาหกรรมเกษตรขอให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมนำรูปแบบอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป
เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิต โดยให้เน้นไปยังกลุ่มผักและผลไม้
ซึ่งประเทศไทยมีแหล่งผลิตสำคัญในภาคตะวันออกและภาคใต้ที่จังหวัดชุมพร โดยจะต้องดำเนินการให้มีห้องเย็น
นอกจากนี้
ยังมอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)เตรียมพร้อมรองรับการเข้ามาลงทุนของนักลงทุน
โดยให้ กนอ.ก้าวสู่ยุค กนอ. 4.0 เพื่อให้สามารถตอบรับการเข้ามาลงทุนได้สะดวกง่าย
ซึ่งตัวอย่างของธุรกิจนี้เห็นได้จากบริษัท WHA ส่วนโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่
3 ขอให้ดำเนินการด้วยดีมีการต่อรองที่เหมาะสมไม่ให้เป็นที่ครหา
เพราะจะนำเป็นโครงการตัวอย่างในการเดินทางไปพบปะกับนักลงทุนจีนต่อไป
ส่วนโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ SEZ ที่นิคมสระแก้ว
ตาก สงขลา และนราธิวาส จะต้องพิจารณาว่าจะให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพ
และต้องมีพื้นที่รองรับสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพโดยจัดทำในแผนระยะ 5
ปีข้างหน้าเอาไว้ด้วย
นายสมชาย หาญหิรัญ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากให้ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงเตรียมโอนเงินกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวทางประชารัฐจากส่วนที่เอสเอ็มอีรายใหญ่ขอยกเลิกการใช้วงเงิน
2,000 ล้านบาท
เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่มีวงเงินกู้จากเอสเอ็มอีแบงก์อยู่แล้วรายละไม่เกิน
1 ล้านบาท เช่น มียอดเงินกู้รายละประมาณ 500,000-700,000 บาท ก็จะได้รับการพิจารณาช่วยเหลือต่อไป
นอกจากนี้ มีแนวคิดที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเงินที่ได้รับการชำระคืนเงินกู้กว่า
970 ล้านบาท มาพิจารณาจัดสรรปล่อยกู้เพิ่มให้กับเอสเอ็มอีขนาดเล็ก .- สำนักข่าวไทย