ดัชนีเชื่อมั่นเอสเอ็มอี Q1 ปรับเพิ่ม

26 มี.ค. – SME D Bank เผยดัชนีเชื่อมั่นเอสเอ็มอี ไตรมาส 1/68 ปรับดีขึ้นจาก 55.21 เป็น 62.40 อานิสงส์เศรษฐกิจฟื้นตัว คาด 3 เดือนข้างหน้า ปรับเพิ่มขึ้นทุกด้าน เตรียมออกดอกเบี้ยต่ำ ช่วยเอสเอ็มอี


นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า SME D Bank โดย “ศูนย์วิจัยและข้อมูล ธพว.” ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ SMEs ต่อเศรษฐกิจและธุรกิจ ไตรมาส 1/2568 และคาดการณ์อนาคต” พบว่า ไตรมาส 1 ปี 2568 ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการทำธุรกิจปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยดัชนีรวมเพิ่มขึ้นจาก 55.21 ในไตรมาสที่แล้ว (Q4/67) เป็น 62.40 โดยเฉพาะด้านผลประกอบการ เนื่องจากมีคำสั่งซื้อและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ยอมรับต้นทุนการประกอบธุรกิจยังคงเป็นปัจจัยกดดัน ขณะที่ปัจจัยหลักที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่น ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การบริโภคและการท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐ และเสถียรภาพของปัจจัยทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ วิสาหกิจรายย่อย (Micro) มีดัชนีความเชื่อมั่นสูงกว่ากลุ่มอื่น อยู่ที่ 65.20 สะท้อนว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ขณะที่ผู้ประกอบการ SMEs ภาคการผลิตและการท่องเที่ยว มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับสูงสุด ซึ่งเชื่อมั่นใกล้เคียงกันในทุกภูมิภาค และใกล้เคียงกันทั้งเมืองใหญ่และเมืองรอง


สำหรับองค์ประกอบของดัชนีความเชื่อมั่นในไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ปรับดีขึ้นเกือบทุกด้าน สัดส่วนจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ที่ตอบว่า ผลประกอบการเพิ่มขึ้นที่ 53.20% จาก 30.40% ในไตรมาส 4 ปี 2567 จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อปริมาณการผลิต สภาพคล่องและการลงทุนเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการ SMEs ยังกังวลต้นทุนวัตถุดิบ บริการ ราคาพลังงานผันผวน รวมถึงดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อความเชื่อมั่นด้านต้นทุน

ส่วนคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า หรือช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 นั้น ผู้ประกอบการ SMEs มีความเชื่อมั่นภาพรวมเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 70.10 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นเกือบทุกด้าน จากแรงสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคอย่างต่อเนื่อง รวมถึง การขยายตัวของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการประกอบธุรกิจ จะกลับมาเป็นปัจจัยกดดันธุรกิจเพิ่มขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า โดยกลุ่มวิสาหกิจรายย่อย (Micro) ยังคงเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อมั่นสูงสุด และเมื่อพิจารณาตามประเภทอุตสาหกรรม พบว่า ภาคก่อสร้างมีความเชื่อมั่นสูงที่สุด ส่วนหนึ่งจากการลงทุนโครงการก่อสร้างภาครัฐ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวมีระดับความเชื่อมั่นลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากเข้าสู่ช่วง Low Season

ผู้ประกอบการ SMEs ในทุกพื้นที่ มีคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า เชื่อมั่นแนวโน้มเชิงบวก โดยในพื้นที่เมืองรอง แนวโน้มเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมากกว่าเมืองใหญ่เล็กน้อย ส่งผลให้ในภาพรวมมีสัดส่วนผู้ประกอบการ SMEs ที่ตอบว่าจะลงทุนเพิ่มขึ้น รวมถึงสภาพคล่องยังคงเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยที่จูงใจให้ผู้ประกอบการ SMEs จะลงทุนเพิ่ม ได้แก่ เห็นโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลัก โดยวัตถุประสงค์อันดับหนึ่งเพื่อขยายกำลังการผลิตและการลงทุนในโครงการใหม่


ภาพรวมสัดส่วนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความต้องการสินเชื่อ SMEs ในอีก 3 เดือนข้างหน้า คิดเป็น 52.20% เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสัดส่วน 41.20% และเพื่อลงทุน 11.00% อย่างไรก็ตาม แม้ความต้องการลงทุนจะเพิ่มขึ้น แต่ความต้องการสินเชื่อเพื่อลงทุนในธุรกิจ ไม่ได้อยู่ในสัดส่วนที่สูงมากนัก เนื่องจากธุรกิจมีสภาพคล่องสูง มีแหล่งเงินทุนภายในธุรกิจเพียงพอที่จะขยายการลงทุนอยู่แล้ว และเมื่อพิจารณาแยกตามพื้นที่ความต้องการสินเชื่อ ผู้ประกอบการ SMEs ในเมืองรองมีความต้องการสูงกว่าเมืองใหญ่ โดยเฉพาะเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในธุรกิจ แม้ไตรมาส 2 เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน แต่ปัจจุบัน ปี 2568 อยู่ในช่วงปรากฏการณ์ลานีญา ทำให้มีปริมาณฝนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs เกือบทั้งหมด จึงคาดว่า ได้รับผลกระทบน้อยกว่าปี 2567 ที่ผ่านมา และไม่ได้รับผลกระทบจากภัยร้อนที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม ในปีที่ 2567 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการ SME ต้องลงทุนและปรับตัวรับภัยร้อนหลากหลายมาตรการ แต่ความกังวลลดลงในปี 2568 รวมถึง ในปี 2567 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการ SMEs ยังต้องเผชิญกับต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และต้นทุนการจัดเก็บสินค้า ตามด้วยปัญหาสินค้าและวัตถุดิบเสื่อมสภาพ และพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไป ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจลดลง ดังนั้น จึงต้องลงทุนยกระดับปรับเปลี่ยนธุรกิจ รูปแบบหรือกระบวนการ เพื่อลดต้นทุนธุรกิจ เช่น การจัดพื้นที่ปรับอากาศ ปรับเวลาการให้บริการ และลงทุนในพลังงานทางเลือก เป็นต้น

นายพิชิต กล่าวเสริมว่า จากผลสำรวจบ่งบอก ผู้ประกอบการ SMEs มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น และต้องการเงินทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพ โดยเฉพาะรับมือกับภาวะโลกร้อน แต่ยังมีความกังวลเรื่องต้นทุนธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น SME D Bank จัดเตรียมผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่จะช่วยบรรเทาภาระ ลดต้นทุนทางการเงิน ด้วยจุดเด่นอัตราดอกเบี้ยเพียง 3%ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ได้แก่ 1.สินเชื่อ “ปลุกพลัง SME” วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 1.5 ล้านบาท สนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงแหล่งทุน 2.สินเชื่อ “Beyond ติดปีก SME” วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท สนับสนุนให้เอสเอ็มอีเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ และ 3.สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีลงทุนติดตั้งเครื่องจักร ระบบ อุปกรณ์ เพื่อใช้พลังงานสะอาด และลดใช้พลังงาน

ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถแจ้งความประสงค์รับบริการได้ ณ สาขา SME D Bank ทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์ www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357. -515 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ทั่วไทยฝนตกหนัก เตือน 5 จังหวัดเสี่ยงรับมือ

กทม. 23 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกหนัก เตือน 5 จังหวัดเสี่ยงรับมือ เฝ้าระวัง “พายุดีเปรสชัน” มีแนวโน้มทวีกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อน กระทบไทย 24-27 ส.ค.นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดตาก จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนตกสะสมที่อาจเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศลาวตอนบน และเวียดนามตอนบน สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และจะขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามและประเทศลาวตอนบน ในช่วงวันที่ 25–26 ส.ค. 68 ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคเหนือ ในช่วงวันที่ 24–27 ส.ค. 68 -สำนักข่าวไทย

โปรดเกล้าฯ 6 บิ๊ก ขรก.มหาดไทย “ขจรเกียรติ” นั่งอธิบดีกรมที่ดิน

ทำเนียบ 23 ส.ค.- โปรดเกล้าฯ 6 บิ๊กข้าราชการมหาดไทย “ขจรเกียรติ” นั่งอธิบดีกรมที่ดิน ด้าน “เชษฐา” เป็นอธิบดี ปภ. ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย ดังนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 22 ส.ค.2568 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี -สำนักข่าวไทย

จับอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองโกงเงินอุดหนุน ก่อนหนีกบดานลาว

22 ส.ค. – ตำรวจภูธรภาค 1 จับอดีตหัวหน้าพรรคการเมือง โกงเงินอุดหนุน 17.6 ล้านบาท หนีกบดานลาว ก่อนจนมุมถูกจับกุมได้ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1), พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1, พล.ต.ต.ธรรมนูญ เชาวะวนิชย์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระพุทธบาท, ตม.จว.หนองคาย, กกต.จว.หนองคาย ร่วมกันจับกุม นายพีระวิทย์ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ สืบเนื่องจากเมื่อปี 2562 นายพีระวิทย์ เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง รับเงินอุดหนุนพรรคการเมือง เพื่อพัฒนาพรรคการเมือง จำนวนประมาณ 17.6 ล้านบาท โดยไม่มีการทำหลักฐานการเบิกจ่าย ทำให้ กกต. เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายพีระวิทย์ และเหรัญญิกพรรค ต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.พระพุทธบาท โดยเลื่อนการเข้าให้ปากคำและแสดงหลักฐานการเบิกจ่ายเงิน และต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองได้หลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงออกหมายจับในข้อหา […]

“ธีรรัตน์” สั่งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สแตนด์บาย 24 ชม. รับพายุคาจิกิ

กทม. 22 ส.ค.- “ธีรรัตน์” สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สแตนด์บายรับมือผลกระทบ “พายุคาจิกิ” ตลอด 24 ชั่วโมง ย้ำ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนรับรู้และเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่อง นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ติดตามสภาวะอากาศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับผลกระทบพายุโซนร้อน “คาจิกิ” ซึ่งพบว่าพื้นที่บางส่วนมีความเสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังซ้ำซาก ระหว่างวันที่ 24 – 28 สิงหาคม 2568 ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ 45 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร นางสาวธีรรัตน์ ได้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด 45 จังหวัด และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต รวมถึงกรุงเทพมหานคร กำชับให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน และสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้จัดทีมปฏิบัติการพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อเข้าเผชิญเหตุและให้การช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้บุคคลใดเข้าพื้นที่หากพบว่ามีความเสี่ยง ในส่วนพื้นที่ชายฝั่ง ให้สั่งห้ามนักท่องเที่ยวเล่นน้ำและห้ามเดินเรือทุกชนิดหากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรง “ให้ผู้ว่าฯ […]

ข่าวแนะนำ

ทีมทนายวัดพระบาทน้ำพุแจงปม “หลวงพ่ออลงกต” สวมบัตร ปชช. คนตาย

ลพบุรี 24 ส.ค. – วัดพระบาทน้ำพุ ตั้งโต๊ะแถลง ยืนยันเลขบัตรประชาชนของ “หลวงพ่ออลงกต” ไม่ซ้ำกับ “อลงกต พลมุข” ปัดตอบปมเลขบัตรประชาชนผู้เสียชีวิต ผูกพร้อมเพย์บัญชีมูลนิธิฯ ขอไปตรวจสอบก่อน ส่วนทางคดี จับตาสัปดาห์หน้า จะมีผู้ถูกดำเนินคดีมากกว่า 1 คน วันนี้ ที่วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี นายศุภชัย สิงคาลวานิช หัวหน้าทีมทนายความของวัดพระบาทน้ำพุ พร้อมตัวแทนมูลนิธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัดพระบาทน้ำพุ ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ เป็นครั้งแรก โดยบอกว่าวันนี้ หลวงพ่ออลงกตไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะมาให้สัมภาษณ์ แต่ครั้งนี้มีข้อมูลมาก มีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายและปัญหาที่ซับซ้อนหลายอย่าง หากตอบไปอาจกระทบต่อคดี และยืนยันว่า หลวงพ่อมีเจตนาบริสุทธิ์ในการช่วยเหลือผู้ป่วย เด็กกำพร้า ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบางในสังคม ซึ่งขณะนี้สังคมเข้าใจผิดในหลายเรื่อง เพราะเกิดการชี้นำของหลายเพจ กลุ่มผู้มีอิทธิพลในบางสื่อ นำเรื่องมาปะติดปะต่อจนสร้างความเสียหาย ส่วนประเด็นที่กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่หลวงพ่ออลงกต สวมชื่อและเลขบัตรประชาชน “อลงกล พลมุข” ข้าราชการที่เสียชีวิตไปแล้วนั้น ทีมทนาย เปิดเผยว่า หลวงพ่ออลงกต มีบัตรประชาชนของท่านเอง และนามสกุลของท่าน […]

สกัดจับขบวนการค้ามนุษย์ ลอบขนคนไทยไปเขมร

สระแก้ว 24 ส.ค. – ทหารพรานลาดตระเวนชายแดนไทย-กัมพูชา บ้านกุดหิน ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว สกัดจับคนไทย 10 คน ขณะลักลอบเข้ากัมพูชา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะเจ้าหน้าที่กำลังลาดตระเวนตามแนวชาย เพื่อสกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายที่จะแอบลักลอบขนข้ามแดน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัย 2 คัน ประกอบด้วย รถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์สีขาว (ไม่ทราบทะเบียน) และ รถยนต์เก๋ง สีดำ ทะเบียนกรุงเทพมหานคร ซึ่งทั้งขับผ่านเข้ามาในพื้นที่ล่อแหลม โดยรถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์สีขาว ได้จอดให้คนเดินลงมาจากรถ และเดินเข้าป่าไป จำนวน 6 คน ประกอบด้วย คนนำพา 1 คน และผู้ลักลอบ 5 คน โดยทั้งหมดเป็นคนไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวไว้ได้ ส่วนรถยนต์เก๋งสีดำที่ขับตามมา เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ จึงขับหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่สามารถสกัดจับไว้ได้ (ห่างจากจุดแรกประมาณ 200 เมตร) จากการตรวจสอบภายในรถพบคนไทย 4 คน […]

พบหลุมจรวด BM-21 ที่ยังไม่ระเบิด ใกล้ศูนย์เด็กเล็ก

อุบลราชธานี 24 ส.ค. – พบหลุมจรวด BM-21 ที่ยังไม่ระเบิด ใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี อยู่ริมสระน้ำใกล้ศูนย์เด็กเล็ก เพียง 100 เมตร จากกรณีที่กัมพูชา ยิงจรวด BM–21 เข้าใส่ชุมชน บ้านเรือนประชาชน ในฝั่งไทย จนนำไปสู่การสูญเสียชีวิต และทรัพย์สิน ของประชาชนคนไทย เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันผลกระทบจากจรวด BM–21 ต่อประชาชน คนไทย ยังคงมีอยู่ ภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้ได้จากบ้านหลังหนึ่ง ในอำเภอน้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 เข้ามาตกในเขตชุมชนฝั่งไทย โดยเหตุการณ์ครั้งนั้น มีจรวด BM-21 ตกมาทั้งหมด 11 ลูก 2 ใน 11 ลูก ตกใส่บ้านประชาชน จนบ้านพังเสียหายทั้งหมด 2 หลัง และมี 1 […]

“มาริษ” จ่อบินเจนีวา แจงประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคี

สวีเดน 24 ส.ค.-“มาริษ” เตรียมบินเจนีวาต่อ แจงประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคี-องค์การสิทธิมนุษยชน-กาชาด ย้ำไทยรักสันติ ทำตามกฎหมายระหว่างประเทศ ฟ้องเขมรใช้ทุ่นระเบิด-โจมตีพลเรือนไทย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่าหลังการเยือนสวีเดนอย่างเป็นทางการแล้วจะเดินทางไปเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ ไปชี้แจงให้กับประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคีให้เข้าใจสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งกัมพูชาใช้ยุทธศาสตรฺของการใช้ วัตถุระเบิดสังหารบุคคน ที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และอนุสัญญาออตตาวาและในโอกาสนี้จะพบกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่สืทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทุ่นระเบิดสังหาร การละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ของกัมพูชา รวมทั้งการใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (icrc )ก็ได้ออกมาพูดชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยอย่างมาก และไม่สนับสนุนให้มีการใช้สงครามข่าวสารในการต่อสู้ โดยใช้พลเรือนเป็นตัวกระทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ซึ่งในโอกาสนี้ตนจะได้พบปะกับประธาน crc พอดี ซึ่งเคยพบกันที่กรุงเทพมหานครแล้ว และทางประธานทราบว่าตนจะมาเจนีวาก็สามารถมาพูดคุยกันต่อได้ ซึ่งจะได้อธิบายทั้ง 2 ประการเหล่านี้เพราะ icrc เป็นองค์กรหลักที่ดูกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งสามองค์กรที่เราวางกลยุทธ์ จะเข้ามาพูดคุย ชี้แจงก็เพื่อยืนยัน ใน ท่าทีบทบาท ของประเทศไทยที่ชัดเจนว่าเราเป็นประเทศ ที่รักสันติ เราต้องการ แก้ไขปัญหาระหว่างกันอย่างสันติวิธี แต่ต้องมีความจริงใจ […]