กทม. 3 เม.ย.- ราคาน้ำมันตลาดโลกสูงสุดในรอบ 5 เดือน ด้าน กกร.กังวลการเมือง และเป็นหน่วยงานล่าสุดปรับลดประมาณการณ์เศรษฐกิจยกแผง
ช่วงนี้หลายหน่วยงานออกมาแถลงคาการณ์เศรษฐกิจหลังจากผ่านพ้นไตรมาส 1 และผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้ว แต่ยังวุ่นถกเถียงเรื่องการนับคะแนน ซึ่งแต่ละหน่วยงานที่แถลงออกมา ดูจากกราฟฟิก ก็พบว่า เป็นไปในทางเดียวกัน คือปรับลดประมาณการณ์ลงทั้งนั้น เช่น คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน หรือ กกร. วันนี้แถลงลดคาดการณ์จีดีพีไทยหรืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเหลือร้อยละ 3.7-4.0 จากเดิมร้อยละ 4.0-4.3 ในขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยและแบงก์ชาติแถลงก่อนหน้านี้ก็ปรับลดคาดการณ์ลงเช่นกันจากขยายตัวร้อยละ 4 เหลือร้อยละ 3.7-3.8 ส่วนการส่งออกทั้ง กสิกรไทยและแบงก์ชาติ ต่างปรับลดเป็นปีนี้ขยายตัวประมาณร้อยละ 3 ส่วน กกร.ลดคาดการณ์การส่งออกขยายตัวเหลือร้อยละ 3-5 จากเดิมคาดโตร้อยละ 5-7 ในขณะที่สภาผู้ส่งออกวานนี้ก็แถลงเช่นกันการส่งออกปีนี้จะโตไม่ถึงร้อยละ 5
ทั้งนี้ การปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ เพราะทุกหน่วยงานหวั่นทิศทางเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณของความไม่แน่นอนมากขึ้น แม้ว่าจะมีความคาดหวังในเชิงบวกต่อประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ในขณะเดียวกัน กรณีอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ก็ยังไร้ข้อสรุปและยังคงเป็นความท้าทายต่อเศรษฐกิจโลกเช่นกัน ประเด็นนี้ก็ทำให้ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย หรือเอดีบี รายงานคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 45 ประเทศ ได้รับผลกระกระทบเช่นกัน ปรับลดคาดการณ์จีดีพีในปีนี้เหลือขยายตัวในอัตราร้อยละ 5.7% ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อปี 2561 ว่าจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 5.9% ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้เอดีบี คาดจะชะลอตัวลงจีดีพีอาจโตเหลือร้อยละ3.9
ในขณะเดียวกัน ภาคเอกชน กกร. มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศและอยากขอให้ทุกฝ่ายดูแลสถานการณ์ให้สงบ เพื่อให้ประเทศก้าวเข้าสู่พระราชพิธีสำคัญ ภายในต้นเดือนพฤษภาคมอย่างเรียบร้อย รวมทั้งช่วยกันลดแรงกดดันทางด้านการเมือง ไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งมากขึ้น และขอให้ผลักดันการดำเนินการนโยบายด้านเศรษฐกิจต่างๆ ของประเทศเดินหน้าได้ต่อเนื่อง
อีกด้านหนึ่งช่วงนี้เป็นช่วงประชุมผู้ถือหุ้นก็ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่งเพราะแต่ละการประชุมก็จะมีการจ้างงาน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอีเวนต์ การเช่าสถานที่จัดงาน ธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่มีผู้ถือหุ้นเป็นจำนวนมาก เช่น จีพีเอสซี ซึ่งได้ซื้อกิจการโกลว์เอ็นเนอร์ยีและมีการขยายงานเพิ่มเติมก็จะมีเม็ดเงินลงทุนในกิจการไฟฟ้าและธุรกิจต่อเนื่องก็จะมีเม็ดเงินลงทุนรวมนับแสนล้านบาท
ในขณะที่ ไออาร์พีซี ก็วางแผนตั้งงบลงทุน 5 ปีนี้ รวม 1.05 แสนล้านบาท แยกเป็นโครงการลงทุนที่มีความชัดเจนแล้ว 7.1 หมื่นล้านบาท โครงการหลักคือ Maximum Aromatics (MARS) มูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิตพาราไซลีน 1.1-1.3 ล้านตันต่อปี และเบนซีน 3-5 แสนตันต่อปี ส่วนอีก 3.4 หมื่นล้านบาท เป็นเงินลงทุนในโครงการที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น โครงการเอทิลีนในกลุ่ม ปตท. ที่อาจจะใช้แนฟทา ทั้งจาก ไออาร์พีซี จากโครงการ CFP ขยายกำลังกลั่น ของ บมจ.ไทยออยล์, การซื้อกิจการ (M&A) ใน Value chain ในธุรกิจต่อเนื่อง สำหรับผลของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว และส่วนต่างของกำไรเพิ่มขึ้นก็ทำให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม หรือ GIM รวมผลกระทบจากสตอกน้ำมันในไตรมาส 1/62 สูงขึ้นคาดว่าจะอยู่ที่ 11-12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าระดับ 6.58 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาส 4/61 คาดว่ากลุ่มโรงกลั่นทั้งหมดจะมีกำไรจากสตอกน้ำมัน เพราะราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปิดสิ้นเดือนมี.ค. อยู่ที่ 67 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าราคาปิดสิ้นปี 61 และกลุ่มปตท.ยังประเมินว่าราคาน้ำมันดิบดูไบทั้งปีนี้จะแกว่งตัวระดับ 65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนกรณีที่ราคาน้ำมันดิบขณะนี้สูงขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือน และราคาก๊าซหุงต้มตลาดโลกก็ขยับสูงขึ้นนั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า คงเป็นปัจจัยชั่วคราว.-สำนักข่าวไทย