กาญจนบุรี 14 ก.พ.-การจุดไฟเผาไร่อ้อยถูกระบุว่าเป็นอีกสาเหตุของการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เป็นมลพิษ ซึ่งเกษตรกรหลายรายเผยว่าจำเป็นต้องเผาเพื่อให้คนงานเข้าไปตัดอ้อย และปัญหาราคาของรถตัดอ้อยที่สูงมากราว 5-10 ล้านบาท
เกษตรกรที่ปลูกอ้อยในอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี เร่งใช้รถตัดอ้อยเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อส่งเข้าโรงหีบอ้อยให้ทันตามกำหนด ซึ่งแต่ละปีมีระยะเวลาเปิดหีบเพียงประมาณ 120 วัน การใช้รถตัดอ้อยแบบนี้ช่วยประหยัดเวลาและลดการใช้แรงงาน หากไม่ใช่รถตัดจะต้องเผาไร่อ้อย เพื่อให้ตัดง่ายขึ้น แต่จะทำให้เกิดฝุ่นควันจำนวนมากลอยกระจายในอากาศ
รถตัดอ้อย 1 คัน สามารถตัดอ้อยได้กว่า 20,000 ตันต่อปี แต่ไม่ใช่เกษตรกรทุกคนที่จะมีรถตัดอ้อยเป็นของตัวเองได้ เพราะรถ 1 คัน มีราคาสูงตั้งแต่ 5 ล้านบาท ไปจนถึงหลักสิบล้านบาท
อ้อยที่ตัดขายมีอายุเฉลี่ย 11-12 เดือน เมื่อถึงช่วงการเปิดโรงหีบอ้อยต้องรีบตัดขายทันที หากเลยกำหนดจะไม่สามารถขายได้ ต้องตัดทิ้งหรือขายเป็นอาหารสัตว์ เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ไม่มีรถตัดอ้อยต้องพึงพาแรงงานคน แต่ด้วยสภาพไร่อ้อยที่รกทึบ มีใบจำนวนมากและมีความคม ทำให้คนงานเลือกรับงานเฉพาะไร่อ้อยที่มีการจุดไฟเผาต้นอ้อย เพราะตัดง่าย ใช้เวลาน้อยกว่าการตัดอ้อยสด หากไม่ยอมเผาจะทำให้หาคนงานตัดอ้อยไม่ได้
ในฤดูการผลิตอ้อยปี 61/62 ประเมินว่ามีพื้นที่ปลูกอ้อยกว่า 11 ล้านไร่ ขณะนี้มีปริมาณผลผลิตอ้อยไฟไหม้เข้าสู่โรงงานกว่า 34 ตัน แม้ปริมาณอ้อยไฟไหม้จะลดลงจากปีการผลิตที่ผ่านมา แต่ยังพบว่าการเผาอ้อยเป็นอีกสาเหตุในการสร้างฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ในหลายจังหวัดที่ปลูกอ้อยจำนวนมาก เช่น ขอนแก่น นครราชสีมา และกาญจนบุรี
เกษตรกรรายนี้ระบุว่า หากเลือกได้ เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่อยากเผาไร่อ้อย เพราะเมื่อขายให้โรงงานจะถูกหักราคา 30 บาทต่อตัน เพื่อนำไปส่งเสริมให้กับเกษตรกรที่ตัดอ้อยสด และการเผาไร่อ้อยยังส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่
เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยหลายรายยอมรับว่ามีหลายพื้นที่ที่แม้ภาครัฐจะขอความร่วมมืองดการเผาไร่อ้อย แต่ก็ยังมีการลักลอบเผา ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิด
กฎหมาย มีโทษทั้งปรับและจำคุก ปัญหาการเผาไร่อ้อยมาจากสาเหตุหลัก คือ การขาดแคลนแรงงานตัดอ้อยมากที่สุด ขณะเดียวกันรายได้ที่ไม่แน่นอนในแต่ละฤดูการผลิต จึงไม่สามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อรถตัดอ้อยได้ เพราะมีราคาสูงหลักล้านถึงสิบล้านบาท และยังมีเงื่อนไขให้เกษตรกรที่ขอสินเชื่อซื้อรถตัดอ้อยจะต้องมีโรงงานที่รับซื้อผลผลิตเป็นผู้ค้ำประกัน.-สำนักข่าวไทย