กนง.มีมติไม่เอกฉันท์ 5:2 เสียง ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี 4 เดือน

ธปท. 19 ธ.ค. – กนง.มีมติไม่เอกฉันท์ 5:2 เสียง ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 1.75 % เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี 4 เดือน พร้อมลดจีดีพีปีนี้เหลือโต 4.2%  ส่วนปีหน้าโต  4%


นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน  ( กนง.) กล่าวว่า การประชุม กนง.ครั้งสุดท้ายของปี 2561 คณะกรรมการมีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.50% เป็น 1.75% ต่อปี โดยให้มีผลทันที ขณะที่ 2 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี  ซึ่ง กนง.ได้คงดอกเบี้ยที่ 1.50% ต่อเนื่องในการประชุม 28 ครั้งที่ผ่านมา หรือประมาณ 3 ปีครึ่ง แต่เป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี 4 เดือน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งเพื่อสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) ในอนาคต นอกจากนี้ ความจำเป็นในการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากมีน้อยลง เพราะเศรษฐกิจขยายตัวระดับที่สอดคล้องกับศักยภาพและกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ และการที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่สร้างความเปราะบางให้กับระบบการเงินในอนาคต โดยเฉพาะประชาชนมีพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนสูงขึ้นและประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร ดังนั้น การปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยลดความความเสี่ยงดังกล่าวได้ 

ส่วนธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทันทีตามมติ กนง.หรือไม่นั้น คณะกรรมการคาดหวังให้ดอกเบี้ยในระบบสถาบันการเงินและตลาดพันธบัตรปรับเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกัน แต่ยอมรับว่าครั้งนี้ไม่ได้เหมือนในอดีต เพราะที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ขึ้นดอกเบี้ยตอบสนองทันที แต่ครั้งนี้ กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยน้อยมาก และคาดว่าไม่ได้ปรับขึ้นต่อเนื่อง เพราะการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะพิจารณาตามสภาวะแวดล้อม ข้อมูลเศรษฐกิจ และความเสี่ยงครั้งต่อครั้ง ไม่ได้หมายความว่าดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศทางเป็นขาขึ้น 


อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าหากธนาคารขึ้นดอกเบี้ยตามอาจจะมีผลกระทบกับผู้กู้ที่ใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1ใน 3 ของลูกหนี้ทั้งหมด แต่ผลกระทบจะไม่มากนัก เพราะดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นเล็กน้อย และเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจระดับปัจจุบันสามารถรับได้

นายทิตนันทิ์ กล่าวว่า คณะกรรมการยังได้ปรับลดประมาณการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือโต 4.2% จากเดิม 4.4%  ส่วนปี 2562 โต 4% จากเดิม 4.2% เหตุส่งออกปีนี้โตลดลงเหลือ 7% จากเดิม 9% และปี 2562 โต 3.8% จากเดิม 4.3% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน และแนวโน้มราคาน้ำมันต่ำลงมาก

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย คาดการณ์ว่า กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 2% ในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ซึ่งจะทิ้งช่วงนานจากการปรับขึ้นครั้งนี้และถือว่าค่อยข้างน้อย เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2562 เติบโต 4.1% ลดลงเล็กน้อยจากปีนี้ที่คาดว่าจะโต 4.3% ไม่ได้เป็นการเติบโตร้อนแรง ประกอบกับมีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มเห็นการชะลอตัวแล้วตั้งแต่ปลายปีนี้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนและมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงเพิ่มอีกในช่วงต้นปี 2562 จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่อาจทวีความเข้มข้นขึ้น โดยอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าจากจีนมูลค่า 200,000  ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจเพิ่มเป็น 25% ในเดือนมีนาคม 2562 จากเดิม 10% ที่เริ่มเก็บตั้งแต่ 24 กันยายนที่ผ่านมา หากการเจรจาของทั้ง 2 ประเทศไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ภายในระยะเวลาผ่อนผัน 90 วันนี้ ซึ่งคาดว่าเป็นเรื่องยากที่จะตกลงกันได้ถึงขั้นที่จะขจัดความเสี่ยงสงครามการค้า หรือความขัดแย้งด้านเทคโนโลยีในอนาคตออกไป


ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยลดลงต่ำกว่า 1% อีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561 ซึ่ง Krungthai Macro Research คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2562 จะอยู่ที่ระดับ 1.1% เท่านั้น ถือว่าเป็นระดับที่ต่ำเกินไป สะท้อนรายได้ของภาคธุรกิจและรายได้ของแรงงานไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังกำลังซื้อภายในประเทศ. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

Joe Biden and Kamala Harris on stage

ผู้เชี่ยวชาญชี้สาเหตุที่ “แฮร์ริส” พ่ายแพ้

ผู้เชี่ยวชาญชี้สาเหตุที่นางคอมมาลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครต พ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ให้แก่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน

“ทรัมป์” คว้าชัยเด็ดขาด ครองตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย

โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน คว้าชัยชนะเด็ดขาดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เหนือคู่แข่งอย่าง คอมมาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต นับเป็นการกลับมาครองตำแหน่งผู้นำสหรัฐอีกครั้ง หลังต้องออกจากทำเนียบขาวไปเมื่อ 4 ปีก่อน

พบศพไวยาวัจกรวัดดังระยองถูกยิงดับพร้อมหญิงสาวในบ้านพัก

พบศพไวยาวัจกรวัดดัง จ.ระยอง ถูกยิงเสียชีวิตในบ้านพัก พร้อมหญิงสาวหน้าตาดี คาดเสียชีวิตมาแล้ว 3 วัน ตำรวจเร่งหาสาเหตุ

พบเด็กหญิงฝาแฝดวัย 9 ขวบ ดวงตาสีฟ้า

พบเด็กหญิงฝาแฝดชาวนครพนม วัย 9 ขวบ มีดวงตาสีฟ้าสดใส ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบได้ยาก อาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงเดี่ยว แม่เผยลูกมีปัญหาทางการได้ยิน ใช้ชีวิตลำบาก ถูกบลูลี่ แต่ไม่ขอเปิดรับบริจาค เพราะเคยถูกมิจฉาชีพแอบอ้าง

ข่าวแนะนำ

นำ “ทนายตั้ม-ภรรยา” ฝากขัง เจ้าตัวยกมือไหว้ ปัดตอบทุกประเด็น

กองปราบฯ นำ “ทนายตั้ม-ภรรยา” ฝากขังศาลอาญารัชดา เบื้องต้นท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว ด้านเจ้าตัวยกมือไหว้ ปัดตอบทุกประเด็น

ครูปรีชาทนายตั้ม

“ครูปรีชา” หิ้วกาแฟ-ข้าวผัด เยี่ยม “ทนายตั้ม”

เกือบ 24 ชั่วโมง ที่ตำรวจกองปราบฯ คุมตัว “ทนายตั้ม-ภรรยา” มาสอบปากคำ เบื้องต้นทั้งคู่ยังให้การปฏิเสธ เตรียมส่งตัวฝากขังบ่ายนี้ ส่วนคู่กรณีหวย 30 ล้าน “ครูปรีชา” นำข้าวผัดและกาแฟ เข้าเยี่ยม “ทนายตั้ม” พร้อมยืนยันคำเดิม “ความจริงก็คือความจริง”

นายกฯ เร่งตั้งทีม JTC เจรจา MOU44 คาดชัด 18 พ.ย.นี้

นายกฯ ยันรัฐบาลเร่งตั้งคณะกรรมการ JTC หารือเส้นเขตแดน MOU 44 และพลังงานใต้ทะเล คาด 18 พ.ย.นี้ ชัดเจน “ภูมิธรรม” มั่นใจกัมพูชายึดตามสนธิสัญญาเจนีวา แม้ไม่เข้าร่วม ย้ำมีผลผูกพันทุกประเทศทั่วโลก