กทม. 12 ก.ย. – “ไชยชนก” ไม่หนุนเปิดด่านไทย-กัมพูชา มั่นใจ “อนุทิน” ไม่มีนโยบายนี้ เชื่อสังคมอาจตีความผิด ชี้ระหว่างจัดการเรื่อง MOU 44 ไม่ควรเปิดช่องเพิ่มความเสี่ยง
นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีข้อตกลงของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ในการพิจารณาเปิดด่านชายแดน ไทย-กัมพูชาว่า สิ่งที่ไม่อยากให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดเพราะกระแสออนไลน์ตอนนี้ไปอีกทิศทางหนึ่ง ขณะนี้สถานการณ์ยังไม่นิ่งไม่สงบยังไม่มีความชัดเจน และเรากำลังเดินหน้าพิจารณาเรื่องการยกเลิก MOU 43 และ 44 จึงเป็นเวลาไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดด่าน และตามกระแสสังคมที่เห็น อาจมีการตีความผิดพลาด จากการสื่อสารที่ระบุว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีนโยบายแบบนี้ แต่ส่วนตัว มั่นใจว่านายอนุทินเป็นหนึ่งในคนที่รักชาติและสถาบันมากที่สุด อีกทั้งที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยไปคลุกคลีในพื้นที่ 4 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ในการลงไปดูแลพี่น้องประชาชนที่ศูนย์อพยพ นำคนออกจากบ้าน และมีคนคิดสั้น จึงเชื่อว่าเป็นการสื่อสารที่ผิด เข้าใจผิดว่าเป็นนโยบายของนายอนุทิน ทั้งนี้เห็นว่าไม่เหมาะสมน่าจะเป็นภัยต่อประเทศ
เมื่อถามถึงกรณีแม่ทัพภาค 2 ไม่สนับสนุนเปิดด่าน นายไชยชนก กล่าวว่า ทุกคนก็คิดเช่นนี้ได้ การปิดด่านไทย-กัมพูชาเศรษฐกิจได้รับผลกระทบตามแนวชายแดน แต่สิ่งที่กระทบมากที่สุดคือเศรษฐกิจของประเทศ เรารู้ข้อมูลอยู่แล้วว่าบ่อนต่างๆในกัมพูชา ผู้ใช้ส่วนใหญ่คือคนไทย และการปิดจะส่งผลกระทบต่อเขามหาศาล และยังไม่รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่ตอนนี้มีคำพูดว่ามีประเทศที่ 3 กดดัน ซึ่งตนเข้าใจทุกเรื่อง แต่ต้องถามว่าประชาชนคนไทยอยู่ตรงไหนในสมการนี้
“ผมเชื่อว่าในวันนี้คนที่ได้รับผลกระทบ ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องมากที่สุด คือคนที่อยู่ในพื้นที่ ผมมั่นใจว่าทุกคนจะบอกเป็นเสียงเดียวกัน ว่าอย่าเปิด จะให้ปิดไปอีกนานเท่าใดก็ตาม ตราบใดที่มันปลอดภัยแล้วเราจะจัดการ เรื่องนี้อย่างถาวรได้เขายินดี เราควรคิดหาวิธีประคองให้ผ่านช่วงนี้ไปได้โดยไม่ต้องเปิดด่าน จนกว่าจะได้รับความชัดเจน” นายไชยชนก กล่าว
นายไชยชนก กล่าวอีกว่า สิ่งที่ห่วง เป็นพิเศษคือ ช่วงเราจัดการเรื่อง MOU 44 อยู่ที่เป็นหัวใจสำคัญของทุกปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเวลา20ปี มีเรื่องทรัพยากรในทะเลมาเกี่ยวข้อง ถ้าเรื่องนี้กำลังจะถูกยุติลง การที่เราเปิดด่าน ตนว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มเติม เหมือนเป็นการเปิดช่องทางให้สร้างความโกลาหลได้ จึงไม่ควรเปิดช่องทางเลย.-319(1) -สำนักข่าวไทย