กรุงเทพฯ 15 ธ.ค.- ตลาดทุน-ตลาดเงินจับตาทิศทางดอกเบี้ยในและต่างประเทศ โดยรอผลการประชุมเฟด และ กนง.ในสัปดาห์น้า
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางค่าเงินหยวนและสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนลงบางส่วน หลังมีรายงานข่าวระบุว่า จีนอาจพิจารณาปรับลดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ หลังธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB ปรับลดตัวเลขประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโซนลง ประกอบกับน่าจะมีแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับมุมมอง ก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟด (18-19 ธ.ค.) ด้วยเช่นกัน และในวันศุกร์ (14 ธ.ค.) เงินบาทอยู่ที่ระดับ 32.77 เทียบกับระดับ 32.84 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (7 ธ.ค.)
ด้านดัชนีตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายเกือบตลอดสัปดาห์จากกลุ่มนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติ โดยในช่วงต้นสัปดาห์ตลาดได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศแกนหลักของโลก และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน อย่างไรก็ดี ดัชนีฯ ฟื้นตัวขึ้นในระยะสั้นๆ หลังความกังวลดังกล่าวคลี่คลายลง ก่อนจะร่วงลงอีกครั้งในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ หลังมีรายงานว่า บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมหรือ ปตท.สผ. ชนะการประมูลทั้งแหล่งบงกช-เอราวัณ ด้วยค่าคงที่ราคาก๊าซซึ่งถือว่าต่ำกว่าคาด
สัปดาห์ถัดไป (17-21 ธ.ค.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 32.60-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,600 และ 1,585 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,620 และ 1,630 จุด ตามลำดับ โดยตลาดในประเทศน่าจะมีจุดสนใจอยู่ที่ผลการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. (19 ธ.ค.) ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่รอติดตาม ประกอบด้วย ผลการประชุมแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าของเฟด, ผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นและธนาคารกลางอังกฤษ รวมถึงสถานการณ์ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และประเด็น BREXIT.- สำนักข่าวไทย