ที่รัฐสภา 24 ก.ย.-“ณัฐวุฒิ” จี้ “พรรคประชาชน-ภูมิใจไทย” จับเข่าคุยถอนร่างแก้ รธน.ไปทำเป็นร่างเดียวกัน หลังแค่เริ่มที่มา ส.ส.ร.ก็เห็นต่างกันแล้ว ชี้ ปชน.ไม่สามารถคุมเกมอำนาจต่อรองได้ตั้งแต่ก่อนเซ็น MOA หวั่นล่มกลางทางก่อนได้ทำประชามติ มี ส.ส.ร.ตามสูตรใต้อิทธิพลบางพรรคการเมือง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย ว่า ตนขอส่งเสียงในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่เฝ้ามองขอเรียกร้องให้พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย เปิดพื้นที่ในการพูดคุยต่อสาธารณะให้ประชาชนได้รับทราบไปพร้อมๆกัน เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายที่ได้ทำ MOA ร่วมกัน ในการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยขึ้นมา ภายใต้เป้าหมายให้มีการทำประชามติ ไปสู่ประตูการแก้รัฐธรรมนูญ ได้มีข้อสรุปร่วมกันว่าจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจะเสนอเป็นร่างเดียว แต่ให้มีการลงชื่อร่วมกันของ 2 พรรคการเมือง แม้ว่าในทางกฎหมายจะสามารถทำให้ทุกพรรคการเมืองต่างก็เสนอร่างของตนได้ แต่เรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษเนื่องจากเกิดจากดีลที่พรรคสีส้มและพรรคสีน้ำเงินไปตกลงทำกันมา ดังนั้น ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงควรแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันทั้ง 2 พรรค เพื่อเป็นหลักประกันให้ประชาชนเกิดความมั่นใจว่าภายใต้ข้อตกลงนี้ ทั้งพรรคแกนนำรัฐบาลและพรรคแกนนำฝ่ายค้านมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน มีเนื้อหาสาระอย่างเดียวกัน และมีที่มาจากสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) แบบเดียวกัน เพื่อผลักดันให้เกิดผลในรัฐสภาเพราะหากต่างคนต่างร่าง หรือต่างคนต่างเสนออย่างที่เป็นอยู่ ก็จะมีปัญหาว่าเมื่อรัฐสภาผ่านวาระแรกไปแล้ว ในชั้นกรรมาธิการจะใช้ร่างฉบับใดเป็นร่างหลัก และถึงที่สุดหน้าตาของสสร. ซึ่งจะเป็นเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะออกมาอย่างที่คนส่วนใหญ่เขากังวลว่าอาจจะเกิดเป็นสสร. สีน้ำเงินขึ้นด้วยหรือไม่
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้เริ่มต้นได้ที่พรรคประชาชนในฐานะผู้เสนอเงื่อนไข และผู้กำหนด MOA ขอให้หัวหน้าพรรคประชาชน เดินไปพูดคุยกับหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ตกลงกันเสร็จ แล้วประกาศกับประชาชนว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ 2 พรรค เนื้อหาเป็นอย่างไร และประชาชนควรจะมีสิทธิ์ได้เห็นภาพแกนนำของทั้ง 2 พรรค เดินไปเปิดโต๊ะหารือกับสว. เพื่อขอรับการสนับสนุนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ด้วย เรื่องนี้ไม่ใช่การเสนอให้มีการก้าวก่ายขอบเขตอำนาจและการปฎิบัติหน้าที่ระหว่างสภาล่างกับสภาสูง แต่เนื่องจากรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลดีลพิเศษ วิธีปฏิบัติจึงไม่ควรยึดในกรอบอย่างปกติทั่วไป ควรยึดเอาเป้าหมายและความเชื่อมั่นผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
“พรรคประชาชนอย่าได้เกรงใจพรรคภูมิใจไทย ท่านต้องการแบบไหนหรือจะเดินแบบไหนคุยกันให้ชัด ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกมองว่านี่เป็นการเสนอเงื่อนไขที่มีความเกรงใจคู่สัญญามากที่สุด เท่าที่เคยมี และความเกรงใจนี้สร้างความกังวลและสร้างความสับสนในหมู่ประชาชน และอาจทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข แทนที่จะเป็นการเดินหน้าประชาธิปไตยกลับกลายเป็นลากพัฒนาทางการเมืองของสังคมไทยให้ถอยหลังไกลลงไปอีก หากเกิดสสร. ที่แอบอิงอยู่กับพลังของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง”นายณัฐวุฒิ กล่าว
เมื่อถามว่า วันนี้พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนได้มีการยื่นเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว แต่มีความแตกต่างเรื่องที่มาของ สสร. นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนคิดว่ายื่นไปแล้วก็ถอนได้ และยื่นเข้าไปใหม่ได้ ส่วนตัวตนอยากเห็นร่างที่ยื่นร่วมกันของ 2 พรรคการเมืองนี้ ตนอยากเห็นเนื้อหาชัดๆ ว่าที่ตกลงกันเป็น MOA ของ 2 พรรคการเมืองนี้มีเจตนารมณ์ร่วมกันอย่างไร หากเริ่มต้น 2 พรรคการเมืองที่ทำ MOA ดีลกันมายังเห็นไม่ตรงกัน แล้วจะมีหลักประกันที่ไหนให้ประชาชนเห็นว่าเกิดความหวังว่าดีลนี้จะสำเร็จตามเป้าหมายได้ หากถอนวันนี้แล้วคุยกันภายในเย็นวันนี้ (24 ก.ย.) วันที่ 25 ก.ย. ยื่นเข้าไปใหม่ กระบวนการก็ไม่เสียหาย ไม่ล่าช้า ขึ้นอยู่กับท่านเลือกที่จะปฏิบัติหรือไม่
เมื่อถามว่าทั้ง 2 พรรคจะพูดคุยกันได้หรือไม่ เพราะที่มา สสร.ต่างกัน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ที่ทั้ง 2 พรรคต้องมาคุยให้รู้เรื่อง เพราะตอนที่ท่านตกลงทำ MOA กันก็ไม่มีใครรู้เรื่องด้วย ท่านรู้เรื่องกันเอง 2 พรรค ดังนั้น เมื่อความปรากฏว่าแนวทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของท่านไม่ตรงกัน และมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย ไม่แปลกที่ท่านจะเปิดโต๊ะพูดคุยกันต่อหน้าประชาชน ตามแนวทางการเมืองบนโต๊ะ การเมืองเปิดเผย การเมืองตรงไปตรงมา ที่บางพรรคการเมืองพูดมาตลอด เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าตนพยายามมาเปิดประเด็นหาเหตุหาเรื่องกันทางการเมืองให้ยุ่งขึ้น แต่ตนเพียงแค่มาเสนอแนวทางที่จะคลี่คลายปัญหาในการเริ่มต้นกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประชาชนจับต้องได้เท่านั้น
ส่วนหากทั้ง 2 พรรค ไม่ยอมถอนร่างเพื่อทำให้เป็นร่างเดียวจะเดินต่อได้อย่างไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ทั้ง 2 พรรคต้องรับผิดชอบต่อข้อตกลงและท่านจะดำเนินการอย่างไรก็ตามในชั้นกรรมาธิการ ในการประชุมของรัฐสภาให้บรรลุผลอย่างดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ออกมาต่อประชาชน ข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอที่ด้วยความหวังดี อาจมีแนวทางอื่นที่ดีกว่าสิ่งที่ตนเสนอแต่ตนเห็นว่าถ้า 2 พรรคสำคัญของดีล MOA ยังเห็นกันคนละทาง ร่างกันคนละเรื่อง แค่เริ่มต้นก็น่ากังวลแล้วว่าจะไปล้มกลางทาง
เมื่อถามว่า หากมองสถานการณ์ตอนนี้ จะเดินไปถึงขั้นตอนการทำประชามติได้หรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนคิดว่าความน่าห่วง น่ากังวลจะเพิ่มขึ้นทุกครั้ง ส่วนตัวคิดว่าเดินมาถึงขั้นนี้เอาให้ได้ ให้มีประชามติแต่ก็ไม่ใช่สักแต่จะลงประชามติ เนื้อหาสาระของการแก้ไขต้องควรตอบโจทย์ของการพัฒนาการเมืองไปสู่ประชาธิปไตย ควรให้ความมั่นใจกับประชาชนได้ด้วยว่านี่ไม่ใช่เกมเติมอำนาจให้ขั้วการเมืองหนึ่งการเมืองใดให้มีพลังใหญ่ขึ้นไปอีก ถ้าพรรคการเมืองบางพรรคเป็นรัฐบาลคุมอำนาจบริหารสามารถที่จะสนิทแนบชิดกับสว. ซ้ายหันขวาหันได้ สว. ตั้งองค์กรอิสระ และยังมีสสร.ที่ต้องมาจากรัฐสภา ซึ่งประชาชนก็มองด้วยสายตาที่มีคำถาม อย่าให้เป็นแบบนั้น ถ้ามันเป็นแบบนั้นต้องแก้เสียวันนี้ โดยพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยต้องคุยกันใหม่และเสนอร่างแบบเดียวกัน
ส่วนหาก 2 พรรคคุยกันได้มองว่าที่มาของ สสร.จะไปในทิศทางของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า แนวทางของพรรคภูมิใจไทยคือให้รัฐสภาเลือกโดยตรงจากแต่ละจังหวัด และเลือกผู้เชี่ยวชาญมาอีก 22 คน ถ้าเป็นรัฐสภาที่ไม่มีข้อครหาเรื่อง สว. สีน้ำเงินก็แบบหนึ่ง แต่เวลานี้ สว.จำนวนเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฮั้ว สว. ซึ่งสังคมกำลังมองว่ามีความใกล้ชิดอย่างยิ่งกับพรรคแกนนำรัฐบาล แบบนี้จะนำสู่การร่างรัฐธรรมนูญตั้งต้นประชาธิปไตยได้อย่างไร ดังนั้น ตนเห็นว่าแนวทางของพรรคประชาชน หรือของพรรคเพื่อไทยก็ตาม ที่อย่างน้อยมีสารตั้งต้นให้ประชาชนได้เลือกคนมาทำหน้าที่น่าจะเป็นแนวทางที่พรรคภูมิใจไทยควรจะรับไว้พิจารณา และควรที่จะร่วมกันเสนอร่างแก้ไขเสนอรัฐธรรมนูญแบบใดแบบหนึ่ง หรืออาจจะมีแบบหนึ่งที่กว่าโดยไม่ใช่ให้รัฐสภา มีอำนาจในการเลือกสสร. โดยตรงเหมือนที่พรรคภูมิใจไทยเสนออยู่ ตนไม่ได้กล่าวหาให้พรรคภูมิใจไทย หรือวุฒิสภาเสียหาย แต่ตนมาแสดงความกังวลว่าหากปล่อยไปแบบนี้บ้านเมืองจะเสียหาย
ส่วนมองว่าพรรคประชาชนจะสามารถคุมเกมต่อรองกับพรรคภูมิใจไทยได้หรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า “ตนคิดว่าคุมไม่ได้ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ตั้งแต่วินาทีที่เซ็น MOA ด้วยซ้ำ ตนคิดว่าภาพสะท้อนที่คิดว่าพรรคประชาชนคุมเกมนี้ไม่ได้ มันเกิดตั้งแต่ก่อนเซ็น MOA คือเกิดมาตั้งแต่การเร่งรัดในการแถลงตอบรับการโหวตให้กับพรรคภูมิใจไทยโดยพรรคประชาชน ซึ่งเดิมมีการนัดแถลงไว้ช่วง 09.30 น. แล้วมีการขยับมาเป็นเวลา 09.00 น. แต่แถลงจริงเวลา 08.46 น. โดยประมาณ ซึ่งตนคิดว่านี่เป็นสัญญาณว่าพรรคประชาชนไม่ใช่ผู้คุมเกมตัวจริงในดีลนี้”
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ส่วนเมื่อคุยกันแล้วเกมจะออกไปในทิศทางใดนั้น ก็ขอให้ประชาชนรับทราบด้วย รับฟัง และได้ติดตามสังเกตการณ์ด้วยว่าพวกท่านคุยกันอย่างไร เพราะเมื่อมีการประชุมกรรมาธิการงบประมาณ หรือมีการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายการเมือง หลายคนเรียกร้องให้มีการถ่ายทอดสด ดังนั้น หากพรรคประชาชนคุยกับพรรคภูมิใจไทยเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะถ่ายทอดสดหรือเฟซบุ๊กไลฟ์ ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ทำได้และประชาชนได้ประโยชน์ด้วย
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทยยืนยันว่าทำตาม MOA การยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนไม่สามารถตอบได้ว่าขณะนี้คือการทำ MOA หรือไม่
“ต้องให้พรรคประชาชนเป็นผู้อธิบาย แต่สำหรับตนคิดว่าเรื่องนี้กำลังนำพาให้แนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดกลายเป็นปัญหาใหม่ และกลายเป็นปัญหาใหญ่ หากเราได้ สสร.ตามสูตรที่คนกังวลว่าจะอยู่ในอิทธิพลของบางพรรคการเมือง” นายณัฐวุฒิ ระบุ
เมื่อถามย้ำถึงข้อกังวลว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะล้มกลางทางหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เห็นไม่ตรงกันตั้งแต่วันยื่นแล้ว และพรรคที่เห็นไม่ตรงกันคือพรรคที่ไปทำดีล MOA ด้วยกัน ลองประเมินดูว่าสภาพจะเป็นแบบไหน และลองคิดต่อว่าหากเห็นไม่ตรงกันจริงและตกลงกันไม่ได้ แล้วมีการเสนอร่างกันคนละฉบับ หากต้องเลือก สว.จะเลือกร่างของพรรคไหน.-316.-สำนักข่าวไทย