กรุงเทพฯ 13 ธ.ค. – สศช.แจงหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ความสามารถชำระหนี้ไม่น่ากังวล ปัดใบสั่งจากรัฐบาล
นางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ รองเลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวถึงแนวโน้มหนี้ครัวเรือนไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุดระบุว่าภาพรวมหนี้ครัวเรือนมีมูลค่ารวม 12.34 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 57 เทียบกับร้อยละ 3.8 และร้อยละ 4.6 ในปี 2559 และ 2560 ตามลำดับ ว่า ส่วนหนึ่งภาระหนี้ครัวเรือนมากขึ้นมาจากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นและอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ รวมทั้งขณะนี้ความต้องการซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เร่งตัวขึ้นตั้งแต่กลางปี 2560 ภายหลังสิ้นสุดเงื่อนไขการถือครองรถยนต์ครบ 5 ปี ตามโครงการคืนภาษีรคถยนต์คันแรก อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี พบว่ามีแนวโน้มลดลงอย่างช้า ๆ จากสูงสุดร้อยละ 80.8 ปี 2558 มาอยู่ที่ร้อยละ 77.5 ไตรมาส 2 ปี 2561
นอกจากนี้ ยังพบว่าวัตถุประสงค์ของการก่อหนี้ครัวเรือนมากกว่าร้อยละ 50 กู้เพื่อซื้อสินทรัพย์ถาวรหรือที่อยู่อาศัย โดยข้อมูลของธนาคารพาณิชย์พบว่าไตรมาส 3 ปี 2561 สัดส่นอยู่ที่ประมาณร้อยละ 73 ของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ให้ครัวเรือน เพื่อกู้ยืมซื้อที่ดินอยู่อาศัย นอกจากนี้ แม้ภาระหนี้เพิ่มขึ้น แต่ความสามารถชำระหนี้ยังไม่น่ากังวล เนื่องจากไตรมาส 3 ปี 2561 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัวลงจาก 10.3 จากไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม สศช.พบว่าหนี้ครัวเรือนยังมีประเด็นต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากตัวเลขภาระหนี้ขณะนี้หากมีปัจจัยภายนอกมากระทบอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถชำระหนี้ได้
ส่วนปัจจัยอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะส่งผลกระทบการชำระหนี้ของลูกหนี้หรือไม่นั้น ต้องติดตามภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายปี 2561 ซึ่งจะสามารถบ่งชี้ได้ชัดเจนว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อการชำระหนี้หรือไม่
นางชุตินาฏ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงการแถลงข่าวด่วนวันนี้เป็นคำสั่งจากรัฐบาลให้ชี้แจง หลังมีตัวเลขออกมาแล้วทำให้เกิดปัญหาความเชื่อมั่น ว่า ยืนยันไม่มีใบสั่งจากผู้ใด แต่เนื่องจากต้นเดือนธันวาคมมีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาระหนี้ออกมาจากหลายสำนัก จึงต้องการสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ยืนยันว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายในสังคมต้องตระหนักและสร้างวินัยการใช้จ่าย ซึ่งต้องปลูกฝังจิตสำนึกตั้งแต่เยาวชนไม่ให้มีค่านิยมใช้จ่ายเกินรายได้ หรือนำเงินอนาคตมาใช้โดยไม่จำเป็น โดยขอให้ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักการดำเนินชีวิต.-สำนักข่าวไทย