กรุงเทพฯ 28 ส.ค. – ภาคการเงินร่วมแก้หนี้ครัวเรือน เผยปี 68 หนี้ครัวเรือนแตะ 13.5 ล้านล้านบาท ธปท.ชี้แก้หนี้ครัวเรือนยั่งยืน ต้องแก้กฎหมายเพื่อดึงหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบ
วงเสวนาหัวข้อ “Household Debt and Financial Vulnerability” หนี้ครัวเรือนไทย : ความเปราะบางที่ต้องจับตา ภายในงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า กลุ่มที่มีหนี้ครัวเรือนสูงสุดคือ กลุ่มคนเริ่มทำงาน (อายุ 22-29 ปี ) พบว่า 50% มีหนี้ครัวเรือน และ 1 ใน 4 กำลังประสบปัญหาใช้หนี้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะไม่มีความรู้ด้านการจัดการรายได้หรือขาดความสามารถในการจัดการทางการเงิน ธปท. จึงพยายามให้ข้อมูลเรื่องหนี้ครัวเรือนเข้าถึงกลุ่มผู้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินมากขึ้น ขณะที่กลุ่มวัยเกษียณยังมีหนี้สิน โดยผู้ที่มีหนี้สินส่วนใหญ่เป็นหนี้จากการบริโภค ไม่ใช่หนี้จากการทำธุรกิจ จากการทำวิจัยพบว่า ประชากร 38% ของประเทศมีหนี้ครัวเรือน เป็นข้อมูลเฉพาะหนี้ในระบบเท่านั้น คนไทยเป็นหนี้เฉลี่ยราว 5 แสนบาทต่อคน และหากรวมหนี้นอกระบบ ตัวเลขก็ต้องสูงขึ้นกว่านี้มาก
ปัญหาสำคัญของหนี้ครัวเรือนคือเมื่อลูกหนี้มีหนี้ในระบบ แล้วไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงต้องสร้างหนี้นอกระบบ จนไม่สามารถชำระหนี้ได้ทั้งในและนอกระบบ ขณะที่เราไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องของหนี้นอกระบบ ทำให้ไม่ทราบจำนวนหนี้ที่แท้จริง ดังนั้น ทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนคือการนำหนี้นอกระบบเข้ามาเป็นหนี้ในระบบ ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญ เพราะการจะทำเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎเกณฑ์และข้อกฎหมายหลายประเด็น
ดร.ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เปิดเผยว่าปี 2568 หนี้ครัวเรือนมีมูลค่า 13.5 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยสินเชื่อหลักที่ครัวเรือนประสบปัญหาในการชำระคือ สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อยานยนต์ ปัจจุบันนี้สินเชื่อส่วนบุคคลมีจำนวนสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่สินเชื่อเพื่อการเกษตรหรือสินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพกลับไม่เติบโต
จากการวิเคราะห์ของบริษัทฯ พบว่าแม้บัญชีผู้ขอสินเชื่อจะมีมากขึ้น แต่ผู้ขอสินเชื่อมีศักยภาพกู้ในจำนวนเงินที่ลดลงเรื่อยๆ และมีหนี้เสียถึง 10.4% ของหนี้ทั้งหมด ดังนั้น บริษัทฯ สามารถช่วยให้ข้อมูลต่างๆ แก่ผู้กู้และผู้พิจารณาสินเชื่อให้สามารถพิจารณาสินเชื่อได้อย่างเหมาะสม และให้ผู้กู้สามารถประเมินศักยภาพในการกู้และการชำระหนี้ของตนเอง นอกจากนี้ การนิยามการจัดการหนี้สินและสุขภาวะทางการเงินเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เพราะบริษัทฯ ไม่ได้เพียงต้องการให้บริการให้ข้อมูลเครดิตเพื่อจัดการความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังต้องการให้ข้อมูลเพื่อการเตือนสถาบันการเงิน ขณะเดียวกันต้องการเตือนผู้บริโภคถึงการฉ้อโกง รวมถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคก็เป็นสิ่งสำคัญ
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ ประธานกรรมการ สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจนอกระบบในไทยมีสัดส่วนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยสูงถึง 48% และทำให้การสำรวจข้อมูลทำได้ไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะเรื่องหนี้ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่มีอยู่ ปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น คือ รายได้ต่ำหรือรายได้ต่ำกว่าความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน ปัญหาความยากจนและความไม่เท่าเทียม กฎหมายหย่อนยานและการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ผลผลิตต่ำ ขาดความยืดหยุ่นทางการเงิน และความล่าช้าของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ขณะที่รายได้ของประเทศ หรือจีดีพีของไทยมาจากบริษัทและกลุ่มลงทุนขนาดใหญ่ที่คิดเป็นเพียง 1% ของผู้ประกอบการทั้งหมดของประเทศ แต่มีรายได้ถึง 65% ของจีดีพีทั้งหมด จึงเห็นได้ว่าเกิดความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้อย่างชัดเจน
แนวทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและปัญหาความเปราะบางทางการเงินของคนไทยนั้น ทางสถาบันการเงินต่างๆ รวมถึงองค์กรภาครัฐได้รวบรวมแนวทางแก้ปัญหาเรื่องการกู้ยืมเงินอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางหลัก 5 ประการได้แก่ 1. ความครอบคลุมที่รวมถึงข้อมูลความเสี่ยงต่างๆ ที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทั้งภาครัฐและสถาบันการเงิน 2. อัตราดอกเบี้ยและจำนวนเงินที่ให้ยืมต้องมีความโปร่งใสและเป็นธรรม 3. สถาบันการเงิน ธนาคาร รวมถึงกลุ่มสหกรณ์ต่างๆ ต้องดำเนินกิจการในระดับของตัวเองเท่านั้น ไม่ก้าวก่ายกัน 4. การแข่งขันเสรี และควรมีการแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลอย่างเป็นกลาง และ 5. การกู้ยืมที่มีคุณภาพ สถาบันทางการเงินต้องให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและโปร่งใส่แก่ผู้กู้ยืม เพื่อให้ผู้ยืมสามารถกู้ยืมในจำนวนที่เหมาะสมกับความต้องการของตน และสามารถผ่อนชำระไหว
นอกจากนี้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ให้ภาคประชาชน รวมถึงดึงลูกหนี้นอกระบบเข้ามาสู่ระบบมากขึ้น เมื่อรัฐมีข้อมูลหนี้ครัวเรือนที่ถูกต้อง ก็จะช่วยในการออกมาตรการช่วยเหลือต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถช่วยเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันและเพิ่มรายได้ครัวเรือนต่อไปในอนาคต ทั้งนี้รัฐบาลต้องเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างจริงจังเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปัจจุบันบริษัทฯ มีหนี้ที่ต้องจัดการแก้ไขประมาณ 2 ล้านล้านบาท เป็นหนี้ครัวเรือน 40% ของหนี้ดังกล่าว สิ่งที่น่าตกใจคือ จำนวน 1 ล้านล้านบาทเป็นหนี้เสีย (NPL) ต้องใช้เวลา 7-10 ปีในการ แต่หากทางบริษัทฯ สามารถขยายศักยภาพในการทำงานได้ ระยะเวลาอาจลดลงมาเหลือเพียง 4-5 ปีเท่านั้น หลักการที่นำมาใช้คือการเข้าช่วยเหลือหนี้เสียเพื่อให้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้อีกครั้ง
ขณะที่ต้องการขยายบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจซึ่งมีอยู่ 86 แห่งให้มากขึ้น และจะทำได้หากได้รับสินเชื่อและการช่วยเหลือจากรัฐบาล ซึ่งหากจะแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ในมือ จะต้องขยายการให้บริการ 3 ใน 4 ส่วน ของศักยภาพปัจจุบัน นอกจากนี้ การเพิ่มมาตรการการช่วยเหลือให้แก่ผู้กู้ที่มีหนี้เสียจะช่วยให้การแก้ปัญหาหนี้สินเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น.-516-สำนักข่าวไทย