พรรคประชาธิปัตย์ 4 ธ.ค.-อภิสิทธิ์ระบุข่าวใช้ตำแหน่งรมต.ต่อรองเฉลิมชัยให้ปชป.ร่วมรัฐบาลคสช.หลังเลือกตั้งไม่จริง จี้พล.อ.ประยุทธ์แสดงท่าทีให้ชัดเจนถ้ายึดหลักธรรมาภิบาล
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข่าวที่ระบุว่านายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรคได้รับการเชื้อเชิญให้ร่วมรัฐบาลกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยนำตำแหน่งรัฐมนตรีเกรดเอมาต่อรองว่า ไม่เป็นความจริง พร้อมกับย้อนถามว่าพรรคพลังประชารัฐระบุว่าจะได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) จำนวน 350 คน และทำทุกอย่างได้ก็ไม่จำเป็นต้องคุยกัน
“ในส่วนของพรรคยืนยันมาตลอดว่าผมเป็นหัวหน้าพรรคต้องพบกับสมาชิกในช่วงหยั่งเสียงก็พูดชัดเจนว่าอย่ามาพูดเรื่องตำแหน่ง เพราะจุดประสงค์ของพรรคคือการนำพาประเทศชาติไปในทิศทางที่ถูกต้อง ดังนั้น ข่าวเรื่องการเสนอตำแหน่งมาต่อรองจึงไม่ใช่ประเด็นและไม่ใช่เวลาด้วย เพราะตามขั้นตอนต้องผ่านกระบวนการเลือกตั้งให้ประชาชนให้คำตอบก่อนว่าสนับสนุนแนวทางของพรรคไหน เท่าไหร่ จากนั้นต้องดูว่าตอนหาเสียงแนวทางของพลังประชารัฐยังยืนยันแนวทางการทำงานในปัจจุบันหรือไม่ เพราะถ้าบริหารเศรษฐกิจแบบนี้ก็ยากที่จะทำงานด้วยกันได้ เนื่องจากประชาชนเดือดร้อนมาก ขณะนี้การเมืองมีสามขั้วคือ พลังประชารัฐ เพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นสามแนวทางที่แตกต่างกันชัดเจน ต้องให้ประชาชนเป็นผู้พิจารณา” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เชื่อว่าทุกพรรคจะปรับแนวทางการหาเสียงใหม่ โดยปัจจัยที่สำคัญคือระเบียบของกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ที่จะออกมา เพราะยังไม่ได้ข้อยุติหลายเรื่อง ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย ป้าย การใช้สื่อออนไลน์ อีกทั้งเดิมเป็นบัตรสองใบ แต่ครั้งนี้เป็นบัตรใบเดียวเลือกทุกอย่าง ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สิทธิต้องชั่งใจว่าเรื่องทิศทางประเทศ นโยบายพรรคกับความชอบพอบุคคล ในที่สุดแล้วมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนจะได้ประโยชน์จากวิธีการคิดในการเลือกแบบใดมากกว่ากัน แต่สิ่งที่พรรคจะทำคือพยายามสรรหาบุคคลที่มีคุณภาพที่ประชาชนพึ่งพาได้ในฐานะส.ส. และต้องชัดเจนเรื่องทิศทางนโยบาย โดยพยายามที่จะสรรหาผู้สมัครให้เสร็จกลางเดือนธันวาคมนี้ รวมถึงการเลือกตัวแทนประจำจังหวัดที่จะทำหน้าที่รับฟังความเห็นในการสรรหาผู้สมัคร ซึ่งน่าจะเรียบร้อยภายใน 3-4 วันนี้ ดังนั้น กลางเดือน-ปลายเดือนนี้น่าจะได้ผู้สมัครครบถ้วน
ส่วนกรณีที่พรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.เป็นหนึ่งในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรค หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ต้องถามพล.อ.ประยุทธ์ว่ายินยอมแล้วหรือไม่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์คงต้องคิดว่าถ้าจะตอบรับก็แปลว่ามีส่วนได้เสียกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ต้องพิจารณาว่าหลักธรรมาภิบาลควรปฏิบัติอย่างไร เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า การเลือกตั้งจะสุจริต เที่ยงธรรม
“ถ้าคิดแต่เรื่องกฏหมายก็อ้างได้ว่ามีเวลาตัดสินใจไปจนถึงวันสุดท้ายของการรับสมัคร และถ้าคิดถึงการใช้อำนาจเพื่อความได้เปรียบ เสียเปรียบ ระยะเวลาที่เหลือก็คงทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ประชาชนจับตาตลอดว่าหากต้องการธรรมาภิบาล ใครที่หาเสียงว่าจะบริหารบ้านเมืองด้วยธรรมาภิบาล ก็ต้องมีมาตรฐาน ทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี และผมเชื่อว่าคนไทยไม่ชอบคนเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ซึ่งจะเป็นปัจจัยในการตัดสินใจของประชาชนต่อไปด้วย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าในอดีตพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจมักมีจุดจบไม่ดี หากทำอะไรแบบเดิม ๆ คงยากที่จะคาดหวังให้ผลเปลี่ยนแปลง พร้อมฝากไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ว่าควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างบรรทัดฐานทางการเมือง เรื่องธรรมาภิบาลจะหยุดแค่เรื่องกฎหมายไม่ได้
“สมัยผมเป็นนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีหลายคนมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติส.ส.จนต้องเลือกตั้งซ่อมส.ส. จึงให้ทุกคนออกจากตำแหน่ง เพราะไม่ต้องการให้ใช้ตำแหน่งเอาเปรียบคู่แข่งหาเสียงทั้งที่กฎหมายไม่บังคับ แต่ผมขอทั้งคนในพรรคผมและพรรคร่วม ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดี บรรทัดฐานอย่างนี้ต้องสร้างขึ้น หากอยากมีธรรมาภิบาล แต่ถ้าท่องแค่ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย การเมืองไทยคงวนเวียนอยู่แบบเดิม” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก้าวแรกทางการเมืองของพล.อ.ประยุทธ์จะทำอย่างไรให้สง่างาม ตนคงบอกไม่ได้ อยากให้พล.อ.ประยุทธ์พิจารณาเอง และทุกคนต้องจับตาว่าเวลาที่พูดเรื่องธรรมาภิบาลตลอดเกือบ 5 ปี จะปฏิบัติหรือไม่ ทั้งหมดเป็นดุลพินิจขอพล.อ.ประยุทธ์จะพิจารณา เพราะถ้าให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการเมือง เรื่องการใข้อำนาจรัฐเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเป็นจุดที่ทำให้ขัดแย้งจนเกิดวิกฤต หากอยากให้หลุดพ้นวิกฤตอย่าทำอะไรที่ซ้ำรอยกับวิกฤตในอดีตที่ผ่านมา ขณะนี้ยังเห็นความพยายามที่จะใช่อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงกกต. โดยการออกคำสั่งหัวหน้าคสช.อย่างน้อย 2 ครั้งคือการปลดกกต.ออกจากตำแหน่งและคำสั่งล่าสุดที่ให้คสช.และรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการแบ่งเขตการเลือกตั้งโดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 รับรอง ไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์และกฎหมาย จนความเป็นอิสระของกกต.ถูกตั้งคำถาม.-สำนักข่าวไทย
