นนทบุรี 7 ธ.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ มีกำหนดเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย – จีน (The Meeting of the Joint Committee on Trade, Investment and Economic Cooperation between Thailand and China หรือ JC เศรษฐกิจ) ครั้งที่ 5 วันที่ 9 ธันวาคม 2559 โดยจะเป็นประธานร่วมกับนายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และในโอกาสนี้จะพบปะหารือกับนักธุรกิจและนักลงทุนสำคัญของจีน เพื่อเดินหน้าสร้างความมั่นใจในศักยภาพและความพร้อมของไทยในการรองรับการลงทุนจากจีน
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีนเป็นกลไกการหารือเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน ในระดับรองนายกรัฐมนตรี เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือด้านเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ สำหรับการประชุมครั้งนี้มีความสำคัญมาก เนื่องจาก 2 ฝ่ายมีเจตนารมณ์ที่จะกระชับความสัมพันธ์ด้านต่าง ๆ ให้แน่นแฟ้นในฐานะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ
นางอภิรดี กล่าวว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนกำลังเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน คือ เน้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืน ให้ความสำคัญกับความเชื่อมโยงด้านต่าง ๆ และการพัฒนาการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม และ ICT/digital ไทยและจีนสามารถร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ที่ 2 ประเทศมีความสนใจและผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะแนวคิด One-Belt One-Road ที่ไทยพร้อมใช้จุดแข็งของไทยด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ที่ตั้ง ร่วมมือกับจีนในการขยายความร่วมมือด้านต่าง ๆ อาทิ การเชื่อมโยงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ยกระดับการพัฒนา/ความเชื่อมโยง digital economy การขนส่ง โลจิสติกส์ การยกระดับภาคการผลิต และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยไทย-จีน มียุทธศาสตร์ connectivity ที่สอดรับจีน คือ One belt one road คู่ไปกับ One belt one ray ภายใต้นโยบายInternet Plus ส่วนของไทย คือ ยุทธศาสตร์ระบบราง EEC ควบคู่กับยุทธศาสตร์ digital economy transformation รวมถึงการพัฒนาให้ไทยก้าวสู่การเป็น leading Digital Hub หรือ E Hub. ของ ASEAN ที่จะช่วยขับเคลื่อน Thailand 4.0 โดย 2 ฝ่ายสามารถขยายความร่วมมือต่าง ๆ ไปยัง CLMV และอาเซียน โดยไทยพร้อมเชื่อมโยงจีน – อาเซียน จีน – อินเดีย และจีน – เอเชียใต้
สำหรับการประชุมครั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะลงนามเอกสาร เพื่อต่ออายุแผนพัฒนาเศรษฐกิจไทย-จีน ระยะ 5 ปี รวมถึงแผนปฏิบัติการร่วม ซึ่งระบุสาขาความร่วมมือหลัก 5 สาขา ได้แก่ 1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (ถนน ระบบราง maritime) 2.การพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรม 3.การพัฒนาความเชื่อมโยงด้านดิจิทัล/อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และอี-คอมเมิร์ซ 4.ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 5.พลังงาน ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศและเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจในเชิงลึกต่อไป
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงพาณิชย์จะลงนามร่วมกับบริษัท อาลีบาบา กรุ๊ป จำกัด เพื่อต่อยอดความร่วมมือด้านการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเอสเอ็มอีไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก้าวสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคงสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 และ Digital Economy เพื่อสังคมอีกด้วย
ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 และเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 13 ของจีน โดยเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 12 และแหล่งนำเข้าลำดับที่ 10 ของจีน ในปี 2558 การค้า 2 ฝ่ายมีมูลค่ารวม 65,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับปี 2559 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับจีน 54,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ยางพารา เคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์ และผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย