สำนักข่าวไทย 15 ตค..-สพฉ.เผยวิธีวิ่งออกกำลังกายอย่างปลอดภัย ควรตรวจสุขภาพก่อนวิ่งเพื่อหาโรคกลุ่มเสี่ยง ชี้ผู้ป่วยในกลุ่มโรคหัวใจน่ากลัวสุดเพราะการวิ่งอย่างหักโหมอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนวิ่ง งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ
นพ.ไพโรจน์ บุญศิริชัย รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.)แนะนำการวิ่งอย่างปลอดภัยว่า แบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ
1.การวิ่งออกกำลังกายบนถนนทั่วไป ที่ไม่ใช่งานวิ่งตามเทศกาลที่จัดขึ้น ซึ่งการวิ่งบนท้องถนนหรือตามข้างทาง ผู้วิ่งควรจะต้องประเมินความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมเป็นอันดับแรก ไม่ควรใส่หูฟังเพื่อฟังเพลงในขณะวิ่งเพราะจะทำให้ ไม่ได้ยินเสียงจากรอบตัวเราที่อาจทำให้เกิดอันตรายได้เช่นเสียแตรรถยนต์ เสียงรถ ที่อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ และหากวิ่งตอนกลางคืน ผู้วิ่งควรใส่เสื้อสะท้อนแสงหรือเสื้อสีสว่างที่จะทำให้รถยนต์หรือคนอื่นๆเห็นผู้วิ่งได้ชัดเจน และที่สำคัญคือควรพกบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรผู้ป่วยที่บอกโรคประจำตัวของเราอย่างชัดเจนพร้อมทั้งพกโทรศัพท์และเบอร์คนที่ผู้พบเห็นสามารถติดต่อได้อย่างรวดเร็วหากเกิดเหตุไม่คาดฝันกับเราได้
2.การวิ่งมาราธอนหรือวิ่งระยะยาวในสนามต่างๆ เป็นการวิ่งที่ต้องใช้ความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ รวมถึงระบบหัวใจและหลอดเลือด เพราะการวิ่งในลักษณะนี้จะต้องใช้พลังงานอย่างมากและต้องเคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้ที่จะออกกำลังกายด้วยการวิ่งมาราธอนนั้นจะต้องมีการเตรียมตัวให้ดีโดยต้องประเมินสุขภาพของตนเองก่อนวิ่งเป็นอันดับแรกและหากยังไม่แน่ใจว่าร่างกายของเราพร้อมกหรือไม่ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพว่าไม่ได้เป็นโรคที่เสี่ยงต่อการออกกำลังกายด้วยการวิ่งเช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจโต หรือ โรคความดันโลหิตสูง หอบหืด เบาหวาน และโรคที่เกี่ยวกับกระดูกหรือข้อ ซึ่งโรคต่างๆ เหล่านี้ไม่ควรออกกำลังกายด้วยการวิ่งมาราธอนหรือการวิ่งในสนามระยะยาว โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มโรคหัวใจอาจะทำเกิดภาวะหัวใจวายได้
นพ.ไพโรจน์กล่าวเพิ่มเติมถึงการปฏิบัติตัวก่อนการวิ่งด้วยว่า ควรจะต้องมีการอบอุ่นร่างกายและยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างเพียงพอ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการวิ่ง รับประทานอาหารก่อนการวิ่งล่วงหน้า 1-2 ชั่วโมง ควรดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนออกกำลังกาย 30 นาที เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ แต่ที่สำคัญคือไม่ควรดื่มมากจนเกินไปเพราะอาจทำให้ระดับเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติและเกิดอาการสมองบวมตามมาได้ นอกจากนี้ในระหว่างวิ่งผู้วิ่งควรสังเกตปริมาณและสีของปัสสาวะ หากปัสสาวะน้อยและสีเข้มขึ้นแสดงว่าร่างกายยังขาดน้ำ ควรดื่มน้ำเพิ่ม แต่ถ้าปัสสาวะมาก สีจางใส และบ่อยกว่าปกติ มีอาการเวียนศีรษะ มึนงง อาจเป็นการแสดงว่าร่างกายได้รับน้ำมากจนเกินพอแล้ว และที่สำคัญที่สุดหากผู้วิ่งมีอาการหน้ามืดหรือมีอาการเจ็บหน้าอกให้หยุดวิ่งและควรรีบพบแพทย์สนามที่ผู้จัดงานวิ่งได้จัดเตรียมไว้ทันที.-สำนักข่าวไทย
