กรุงเทพฯ 24 ก.ย. – บลจ.วรรณปรับจีดีพีปีนี้เพิ่มโตร้อยละ 4.4-4.7 พร้อมคาดการณ์เป้าหมายหุ้นไทยปีนี้ 1,834 จุด รับอานิสงส์การเลือกตั้ง
นายมลฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ (บลจ.วรรณ) กล่าวว่า ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้เพิ่มขึ้น เป็นโตร้อยละ 4.4 – 4.7 จากเดิมคาดโตร้อยละ 4-4.5 ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2562 คาดโตร้อยละ 4 – 4.5 โดยการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวตามการส่งออกและแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐและการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) การเพิ่มขึ้นของการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและรายได้ภาคการเกษตรปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องหนุนความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้น
นอกจากนี้ การที่ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2562 เป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจและเป็นผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งทาง บลจ.วรรณคาดเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,834 จุด ระดับราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิหรือพีอี/เรโช ที่ 16.98 เท่า และหากบรรยากาศการเลือกตั้งเป็นไปด้วยดี การส่งออกและจำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวได้มากกว่าร้อยละ 10 รัฐบาลเร่งโครงการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสสูงถึงระดับ 1,955 จุด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและคู่กรณี หากมีความรุนแรงขึ้นจะกระทบต่อการค้าโลก และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอลงต่ำกว่าเป้าหมาย ความกังวลวิกฤติค่าเงินในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ การเลือกตั้งและการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้ากว่ากำหนด เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงอยู่ที่ 1,712 จุดได้
ส่วนผลกำไรบริษัทจดทะเบียนยังไม่สามารถประเมินโดยรอการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2561 โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะอาจได้รับผลกระทบเรื่องการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ (IFRS9) ที่จะเริ่มใช้ปี 2562 รวมถึงแนวโน้มการลดค่าธรรมเนียมบริการต่าง ๆ ซึ่งอาจกระทบกำไรของธนาคารพาณิชย์ ที่มีสัดส่วนร้อยละ 20-30 ของมูลค่าราคาตลาดรวม ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะเลือกหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้ง กระตุ้นการบริโภค การจับจ่ายใช้สอย เช่น ค้าปลีก
นายพจน์ หะรินสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า คาดว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 115,000 -120,000 ล้านบาท เกินเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 110,000 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 15.60 เพราะสามารถขยายฐานลูกค้าสถาบันในส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ปัจจุบันสัดส่วนสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ธุรกิจกองทุนรวมอยู่ที่ร้อยละ 41.93 กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ร้อยละ 43.42 และกองทุนส่วนบุคคล ร้อยละ 23.64
นอกจากนี้ มีแผนออกกองทุนตราสารประเภทอื่น ๆ เพิ่ม เพื่อมาทดแทนกองทุนตราสารหนี้ เพราะลูกค้าได้รับผลกระทบจากการถูกเก็บภาษีเงินปันผลกองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่งทั้งระบบมีการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ 2.6 ล้านล้านบาท จากการลงทุนกิงทุนรวมทั้งระบบ 5 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกันจะเพิ่มช่องทางขายผ่านสถาบันการเงินผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น เพิ่มบริการให้ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีออนไลน์ ตั้งราคาซื้อขายได้อัตโนมัติ ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของพอร์ต โดยจะเริ่มใช้งานไตรมาส 4 ปีนี้ ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าทำธุรกรรมผ่านมือถือ ร้อยละ 50 หรือประมาณ 5,000 รายจากฐานลูกค้าที่ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต และคาดว่าจะส่งผลให้บัญชีที่ทำธุรกรรมเป็นประจำ (Active) เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 20,000-30,000 ราย จากจำนวนบัญชีทั้งหมด 80,000 ราย .- สำนักข่าวไทย