กรุงเทพฯ 18 ส.ค.- สภาวิศวกร ชี้บทเรียนเหตุการณ์สะพานถล่มที่อิตาลี สู่กรณีไทยต้องเตรียมความพร้อมที่ไม่ประมาท
นายอมร พิมานมาศ เลขาธิการสภาวิศวกร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์สะพานโมรานดิที่ประเทศอิตาลีพังถล่มลงมามีผู้เสียชีวิตจนถึงปัจจุบัน 39 รายแล้ว ปัจจุบันก็ยังอยู่ระหว่างค้นหาผู้ยังติดใต้ซากสะพานอีก การถล่มของสะพานที่อิตาลีครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่มากและแม้ว่าจะเกิดขึ้นห่างไกลจากประเทศไทย แต่ก็ถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัวเลยเพราะแต่ละประเทศก็มีสะพานใช้งานจำนวนมาก รวมถึงประเทศไทยด้วย
นายอมร กล่าวต่อว่า ในทางวิศวกรรมสะพานจำแนกได้หลายรูปแบบ เช่น สะพานช่วงสั้น มักมีช่วงพาดไม่เกิน 20-40 เมตร สะพานช่วงปานกลางมีช่วงพาดประมาณ 40-80 เมตร และสะพานช่วงยาวมีช่วงพาดเกิน100 เมตรขึ้นไป โดยสะพานยังอาจแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ตามวัสดุที่ใช้ก่อสร้างได้แก่ สะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก สะพานคอนกรีตอัดแรงและสะพานเหล็ก ซึ่งสะพานที่มีขนาดใหญ่และช่วงพาดยิ่งยาว และที่ผ่านการใช้งานมานานยิ่งมีระบบโครงสร้างที่ซับซ้อน ก็อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งปัจจัยที่ทำให้สะพานถล่มมี 5 สาเหตุหลักคือ1.การออกแบบผิด พลาด 2. การก่อสร้างผิดพลาดหรือไม่ถูกวิธี 3.วัสดุเสื่อมสภาพ 4. น้ำหนักบรรทุกมากเกินไป เช่น รถบรรทุกขนาดใหญ่ และ5.ภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว และแรงลม เป็นต้น ซึ่งการถล่มของสะพานอาจเกิดขึ้นได้ทั้งขณะที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและที่เปิดใช้งานแล้ว ในบ้านเราพบการพังถล่มของสะพานเกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้าง สาเหตุเกิดขึ้นจากระบบค้ำยันและนั่งร้านไม่แข็งแรงพอ แต่การวิบัติของสะพานโมรานดิในประเทศอิตาลี เป็นการวิบัติของสะพานที่มีอายุการใช้งานมากว่า 50 ปีแล้วเพราะสะพานแห่งนี้เริ่มเปิดใช้งานมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2510 การวิบัติที่เกิดขึ้นจัดว่าเป็นการวิบัติแบบเฉียบพลัน สาเหตุของการวิบัติยังไม่ทราบแน่ชัดและต้องรอการพิสูจน์ทางนิติวิศวกรรมศาสตร์โดยผู้เชี่ยวชาญ
นายอมร กล่าวต่อไปว่า สำหรับสะพานโมรานดิมีลักษะเป็นสะพานขึงช่วงยาวเหล็กที่ใช้ขึงตัวสะพานฝังอยู่ในแท่งคอนกรีต ที่ดึงพื้นสะพานเพียงด้านละ 1 จุดเท่านั้น สันนิษฐานว่าวัสดุในการรับน้ำหนัก ได้แก่ เหล็กที่ใช้ขึงสะพาน อาจเกิดการวิบัติที่ตัวเหล็กเองหรือที่ข้อต่อเหล็ก เนื่องจากการเสื่อมสภาพ การเกิดสนิม หรือความล้าของข้อต่อที่เกิดจากน้ำหนักรถบรรทุกและยานพาหนะอื่นที่วิ่งผ่านไปมาหลายล้านรอบตลอด 50 กว่าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการถล่มของสะพานที่อิตาลีนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นได้อีก ณ ที่ใดก็ได้ในโลกนี้ ในทางวิศวกรรม เหตุการณ์ดังกล่าวมีหนทางป้องกันได้โดยใช้วิธีการตรวจติดตามสุขภาพโครงสร้างสะพาน (Structural health monitoring system) ซึ่งเหมือนการตรวจสุขภาพร่างกายคน โดยแบ่งได้เป็นการตรวจสอบรายวัน รายปี และการตรวจสอบพิเศษ การตรวจสอบทำได้ทั้งการตรวจสอบด้วยสายตา โดยสังเกตรอยร้าว การบิด การเคลื่อนตัว หรือ แม้กระทั่งเสียงโครงสร้างที่ดังลั่นผิดปกติ หรือการสั่นสะเทือนที่มากผิดสังเกต ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญานเตือนภัยบอกเหตุผิดปกติในโครงสร้างล่วงหน้าได้ทั้งสิ้น และนอกจากการตรวจสอบด้วยสายตาแล้ว การตรวจวัดด้วยเครื่องมือทางวิศวกรรม อาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงแบบไม่ทำลาย ในปัจจุบันสามารถวัดค่าความเค้น ความเครียด การเสียรูปของสะพานและทำการประมวลผลแบบเรียลไทม์ได้ ช่วยให้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ซ่อมแซมหรือเสริมกำลังได้ทันท่วงที
นายอมร กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้สาเหตุหนึ่งที่สะพานพังถล่ม อาจจะเกิดจากการละเลยเรื่องการตรวจสอบและดูแลรักษาอย่าลืมว่าโครงสร้างทุกประเภท มีอายุการใช้งาน โดยเฉพาะโครงสร้างประเภทสะพาน ที่ต้องรับรองน้ำหนักยานพาหนะที่เคลื่อนผ่านไปมา ทำให้เกิดแรงพลศาสตร์กระทำต่อโครงสร้างเป็นอันตรายยิ่งกว่า น้ำหนักที่แช่อยู่นิ่งๆ เสียอีก และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งโครงสร้างจะเกิดความล้า (fatigue) นำไปสู่การวิบัติได้ หนทางที่ดีที่สุดคือต้องไม่ประมาท ต้องจัดให้มีโปรแกรมการตรวจสอบและดูแลรักษาสะพานอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงการถล่มของสะพานได้ .-สำนักข่าวไทย