กรุงเทพฯ 14 ส.ค. – รัฐมนตรีเกษตรฯ ย้ำสหกรณ์ผลิตน้ำนมคุณภาพ พร้อมกำชับผู้ประกอบการดูแลทั้งการผลิตและขนส่งไม่ให้เกิดปัญหานมบูด
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบนโยบายผู้แทนสหกรณ์ทั่วประเทศว่า สหกรณ์โคนมที่ส่งน้ำนมโคเข้าโครงการนมโรงเรียนต้องผลิตนมให้ได้คุณภาพตามข้อกำหนดของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม (Milk Board) โดยจะต้องมีปริมาณของแข็งในน้ำนม (Total Solid) สูงตามเกณฑ์และมีค่าจุลินทรีย์ในน้ำนมต่ำ (Somatic Cell)
นายกฤษฎา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ยังได้เชิญผู้ประกอบการที่ได้รับจัดสรรสิทธิ์จำหน่ายนมโรงเรียนมาชี้แจงถึงนโยบายการจัดสรรสิทธิ์การจำหน่ายนมโรงเรียน ซึ่งจากนี้ไปจะไม่ให้มีการทุจริต จ่ายเงินใต้โต๊ะ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการรายหนึ่งรายใด แต่จะพิจารณาอย่างโปร่งใส พร้อมกำชับว่าเมื่อได้สิทธิ์การจำหน่ายแล้วให้คัดสรรนำน้ำนมดิบคุณภาพสูง เพื่อจะนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเป็นนมพาสเจอร์ไรส์และนมยูเอชทีผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งดูแลการขนส่งให้เป็นไปตามข้อกำหนดเพื่อไม่ให้เกิดการกระแทกจนบรรจุภัณฑ์ฉีกขาดทำให้นมบูด
นอกจากนี้ ยังเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีเปลี่ยนชื่อจาก โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เป็นโครงการอาหารเสริมสำหรับเด็กและเยาวชนไทย เพื่อให้เด็กและเยาวชนทั้งประเทศมีโอกาสได้ดื่มนมซึ่งมีแคลเซี่ยมสูงช่วยบำรุงกระดูกและฟัน รวมถึงมีคุณค่าทางอาหารสูง บำรุงสมองให้เด็กฉลาด
นายกฤษฎา กล่าวว่า ได้ย้ำผู้ประกอบการให้จัดหาน้ำนมดิบจากสหกรณ์โคนมที่ได้รับการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ว่ามีคุณภาพตามข้อกำหนดให้เพียงพอไม่ให้เกิดปัญหาน้ำนมดิบที่จัดเตรียมไม่เพียงพอ แล้วไปนำมาจากแหล่งที่ไม่ได้รับการรับรองและคุณภาพต่ำ หากพบจะพิจารณาตัดสิทธิ์อย่างเด็ดขาด
ด้านนายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุศัตว์ ประธานคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน กล่าวว่า ได้ปรับปรุงมาตรการการป้องกันการทุจริตโครงการอาหารนมโรงเรียนเสนอต่อปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเพื่อให้เป็นตามข้อเสนอแนะของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และ ครม. รับทราบ
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักตรวจสอบ ติดตามประเมินผลการดำเนินงานนมโรงเรียน อย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง 2. ให้กระทรวงเกษตรฯ พิจารณาทบทวนแนวทางการบริหารจัดการโครงการอาหารนมโรงเรียน โดยให้ทบทวนบทบาทของหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) 3. เสนอให้พิจารณาทบทวนระยะเวลาการจัดทำบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น (MOU) ปีละ 1 ครั้ง ในช่วงเดือนตุลาคมเป็นระยะเวลาคาบเกี่ยวภาคการศึกษาที่ 2 ทำให้เมื่อรจัดสรรสิทธิ์แล้ว ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิทธิ์การจำหน่ายได้ โดยมิลค์บอร์ดมีความเห็นว่าควรมีการ MOU เป็นรายภาคการศึกษาแทนการทำเป็นรายปีการศึกษา
4. การปรับปรุงจัดการระบบโลจิสติกส์ในการขนส่งนมโรงเรียน ตามที่มีข้อหารือในมิลค์บอร์ดก่อนหน้านี้ว่า ไม่สมควรให้มีการจัดซื้อน้ำนมดิบข้ามเขต ซึ่งจะดำเนินการโดยกำหนดเรื่องการขนส่งเป็นลำดับแรก เพื่อรักษาคุณภาพน้ำนม 5. กระทรวงเกษตรฯ ต้องพิจารณาทบทวนแก้ไข และเพิ่มอัตราโทษของความผิดผู้ประกอบการที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามประกาศหลักเกณฑ์นมโรงเรียนตามประกาศของมิลค์บอร์ด 6. ให้กระทรวงเกษตรฯ พิจารณากระบวนการจัดซื้อนมโรงเรียน โดยให้โรงเรียนเป็นผู้สั่งซื้อโดยตรงผ่านระบบการจัดซื้อด้วยระบบการจัดหาพัสดุด้วยวิธีการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-market) และด้วยวิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) แทนวิธีการจัดซื้อแบบพิเศษที่ผ่านมา และ 7. ให้พิจารณาทบทวนและองค์ประกอบของมิลค์บอร์ด โดยให้ปรับเปลี่ยนฝ่ายเลขานุการจากองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เป็นกรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบการบริหารจัดการนมโรงเรียน
นอกจากนี้ ยังพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างคณะอนุกรรมการชุดต่าง ๆ ของมิลค์บอร์ด ตามข้อสั่งการของนายกฤษฎา ซึ่งกำชับให้มิลค์บอร์ดเร่งดำเนินการปรับปรุงมาตรการกำกับดูแลโครงการนมโรงเรียนให้ทันภาคเรียนที่ 2 ปี 2561 โดยให้คำนึงถึงนโยบายของรัฐบาลว่าเกษตรกร 19,000 ราย ขายนมได้ราคาเป็นธรรม นักเรียน 7.450 ล้านคน ได้ดื่มนมในเวลา 260 วันต่อปี และ ผู้ประกอบการได้รับการจัดสรรสิทธิ์อย่างโปร่งใสเป็นธรรม โดยปีการศึกษา 2561 มีผู้ประกอบการได้รับการจัดสรรสิทธิ์ในโครงการนมโรงเรียน 62 ราย จำนวน 68 โรงงาน.-สำนักข่าวไทย