ทำเนียบฯ 17 ก.ค.-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ย้ำ ครม.สัญจร ไม่ได้หวังผลการเมือง ขณะที่การให้สัญชาติไทยแก่เยาวชนทีมหมูป่าอะคาเดมี ต้องเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การลงพื้นที่ช่วงการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ระหว่างวันที่ 23-24 กรกฎาคมนี้ ที่จังหวัดอุบลราชธานีและอำนาจเจริญ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้วางกำหนดการ ขณะที่ทางกระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดต่าง ๆ จะเตรียมพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้องในเรื่องการดูงานต่าง ๆ ซึ่งการตรวจงานในพื้นที่ใกล้เคียงนั้น รองนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้วางกรอบให้รัฐมนตรีลงพื้นที่ ทั้งนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา จะเน้นความต้องการของประชาชนเป็นหลัก โดย 4 ฝ่าย ประกอบด้วย ภาครัฐ ท้องถิ่น เอกชน และสภาอุตสาหกรรม จะประชุมร่วมกันเพื่อเสนอความต้องการในพื้นที่
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา บางพื้นที่ได้เชิญอดีตนักการเมืองและผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อถามความเห็นและข้อเสนอแนะ ซึ่งเป็นลักษณะภาพกว้างและเป็นการดำเนินการที่ไม่เกี่ยวข้องหรือหวังผลทางการเมือง ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ จะเชิญอดีตนักการเมืองหรือท้องถิ่น ส่วนใครบ้างนั้น ตนไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยตนจะไม่ขอตอบในประเด็นที่ถามโยงกับการเมือง
พล.อ.อนุพงษ์ ยังสรุปความคืบหน้าโครงการไทยนิยมยั่งยืน ว่า จะต้องเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ ขณะนี้เป็นช่วงการดำเนินโครงการต่าง ๆ หลังผ่านความเห็นชอบจากพื้นที่และผู้เกี่ยวข้อง โดยโครงการส่วนใหญ่ เป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ทั้งแหล่งน้ำ ถนนหนทาง และการเสริมสร้างอาชีพระยะยาว ขณะนี้งบประมาณได้อนุมัติแล้ว โดยขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่และกระทรวงที่รับผิดชอบ หลังเสร็จสิ้นโครงการไทยนิยมยั่งยืน จะมีโครงการเพื่อประชาชนในรูปแบบใด ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล
สำหรับการให้สัญชาติไทยกับ 4 หมูป่าอะคาเดมี พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตามกฎหมายการให้สัญชาติไทย ไม่ได้อยู่ที่ตัวนายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดกระทรวง หรือรัฐมนตรี แต่ทั้งหมดต้องเป็นไปตามกฎหมาย จะให้สัญชาติใครต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าบุคคลนั้นเข้าเงื่อนไขตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ในกรณีใด เพราะหากเจ้าหน้าที่รัฐให้สัญชาติโดยผิดกลุ่มและผิดกฎหมาย ถือว่ามีความผิด มีโทษร้ายแรง ทั้งนี้ ความล่าช้าก็ขึ้นอยู่กับการพิสูจน์ตัวของผู้ขอสัญชาติและหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งหากเกิดความผิดพลาด เจ้าหน้าที่รัฐจะมีความผิด ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งแนวทางปฏิบัตินี้ กระทำเหมือนกันเท่าเทียมกันทุกคน โดยตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ได้ให้สัญชาติไทยกับกลุ่มต่าง ๆ ตามเงื่อนไขกฎหมายไปแล้วกว่า 20,000 คน.-สำนักข่าวไทย
