นนทบุรี 26 มิ.ย. – พาณิชย์หารือภาคเอกชน หาข้อมูลชี้แจงสหรัฐปลายเดือนหน้า หลังใช้มาตรการปกป้องสินค้านำเข้า มั่นใจสหรัฐจะเข้าใจไทยมากขึ้น
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมร่วมกับภาคเอกชน ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก อาหาร ยานยนต์ หลังจากประเทศมหาอำนาจ ได้แก่ สหรัฐและจีนประกาศใช้มาตรการต่าง ๆ ตอบโต้ภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกัน แม้จะไม่ได้เกิดความรุนแรงมากนัก แต่มาตรการตอบโต้เหล่านี้กระทบต่อประเทศส่งออกไปทั่วโลกรวมถึงไทย ดังนั้น การประชุมร่วมกับภาคเอกชนในครั้งนี้เพื่อต้องการรับทราบว่าภาคอุตสาหกรรมไทยได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะเป็นประโยนช์ต่อภาคราชการอย่างมากในการนำไปชี้แจงกับผู้แทนการค้าของสหรัฐ หรือยูเอสทีอาร์
ทั้งนี้ แต่ละภาคอุตสาหกรรมได้สรุปผลการขึ้นภาษี เบื้องต้นพบว่ามาตรการที่สหรัฐและจีนประกาศตอบโต้ทางภาษีระหว่างกัน ขณะนี้ แม้ว่าอาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่บางอุตสาหกรรมของไทยอยู่ในห่วงโซ่การผลิตอาจจะได้รับผลกระทบ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จะนำข้อหารือครั้งนี้ทั้งหมด รวมถึงผลกระทบที่ไทยจะได้รับเข้าหารือกับยูเอสทีอาร์วันที่ 22-24 กรกฎาคมนี้ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลแท้จริงของไทยด้านต่าง ๆ แม้ว่าบางรายการสินค้าของไทยจะถูกจับตามองว่ามียอดนำเข้าสูงจนไทยได้ดุลการค้าสหรัฐ แต่สินค้าที่สหรัฐนำเข้ามากเกิดจากความต้องการของสหรัฐ ขณะเดียวกันสินค้าสหรัฐหลายรายการส่งออกมาไทยเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันถือว่าไม่ได้ส่งออกผิดปกติแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าการไปชี้แจงให้สหรัฐได้ทราบข้อเท็จจริงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อไทยอย่างมากและครั้งนี้จะมีแต่หน่วยงานราชการของกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่กระทรวงพาณิชย์ติดตามจากปัญหาดังกล่าวตั้งแต่ต้นปี 2561 จนถึงปัจจุบัน สหรัฐออกมาตรการกีดกันทางการค้าขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าหลายชนิดและหลายระลอก ได้แก่ สินค้าเครื่องซักผ้าและโซลาร์เซลล์ ที่อ้างเหตุผลเพื่อปกป้องคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศ (safeguard) สินค้าเหล็กและอลูมิเนียม อ้างเรื่องความมั่นคงของประเทศ (national security) และสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งการขึ้นภาษีสินค้าเทคโนโลยีฯ จะใช้กับจีนเท่านั้น โดยสหรัฐอ้างว่าจีนละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ นอกจากนี้ สหรัฐอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อออกมาตรการสำหรับสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนอีกด้วยโดยในชั้นนี้ เริ่มเห็นผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐต่อการส่งออกของไทยแล้ว โดยมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องซักผ้าและโซลาร์เซลล์ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี ทำให้ไทยส่งออกสินค้าดังกล่าวไปสหรัฐน้อยลง เปรียบเทียบมูลค่าส่งออกในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้กับปีก่อนหน้า พบว่ามูลค่าการส่งออกเครื่องซักผ้าและโซลาร์เซลล์ลดลงมากกว่าร้อยละ 30 และ 50 ตามลำดับ นอกจากนี้ สินค้าเหล็กและอลูมิเนียมมีแนวโน้มว่าจะส่งออกไปสหรัฐลดลงเช่นกัน สำหรับมาตรการที่ใช้กับสินค้าในกลุ่มทรัพย์สินทางปัญญาฯ ส่วนของจีนจะเริ่มบังคับใช้เดือนกรกฎาคม จากการประเมินของกระทรวงพาณิชย์ในภาพรวมไทยยังไม่ได้รับผลกระทบทางลบ
น.ส.ชุติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานการณ์การตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ 2 อันดับแรกของโลกนั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการค้าโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บั่นทอนบรรยากาศการค้าการลงทุนทั่วโลก รวมถึงผู้ส่งออกในจีนและสหรัฐอาจเริ่มมองหาตลาดอื่นทดแทน อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ยังไม่พบการส่งออกสินค้าที่เข้าข่ายถูกขึ้นภาษีระหว่างกันทะลักเข้ามาไทยสูงขึ้นกว่าปกติ แต่ได้เตรียมการรองรับแล้ว โดยกำหนดยุทธศาสตร์ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ มาตรการเชิงรุก เช่น การหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ เร่งเจรจา FTA หรือสร้างหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ มาตรการเชิงรับ เช่น การป้องกันเฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับสินค้าที่จะทะลักเข้าไทย นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายยุทธศาสตร์ทางการค้าจัดประชุมรายสินค้า เพื่อจัดทำแผนการดำเนินงาน (Action Plan) ต่อไป
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ประเมินว่า สงครามทางการค้าอาจทำให้เกิดการปรับรูปแบบและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ กลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบมีแรงจูงใจแสวงหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาเสถียรภาพการค้าในระยะยาว จากการศึกษาวิเคราะห์ของ สนค. พบว่าโดยรวมแล้วไทยจะยังได้ประโยชน์จากส่งสินค้าไปขายทดแทน เช่น สินค้ายานยนต์และส่วนประกอบ ไทยมีโอกาสส่งออกเพื่อทดแทนจีนในตลาดสหรัฐ รวมถึงส่งออกทดแทนสหรัฐในตลาดจีนมากขึ้น สินค้าเกษตร อาทิ มันสำปะหลัง มะพร้าว ชิ้นส่วนสัตว์ปีก ไทยมีโอกาสส่งออกสินค้าไปยัง 4 ประเทศ ที่ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐ ได้แก่ จีน แคนาดา เม็กซิโก และสหภาพยุโรป ปลาปรุงแต่ง เนื้อสัตว์และส่วนประกอบ มีโอกาสทดแทนสินค้าจากสหรัฐฯ ในตลาดจีน และแคนาดาต่อไป.-สำนักข่าวไทย