นายกฯ เดินทางเยือนยุโรป ครั้งแรก 19-26 มิ.ย.

กรุงเทพฯ 20 มิ.ย.-  นายกฯ เดินทางเยือนอังกฤษ – ฝรั่งเศส  19-26 มิ.ย. นี้ ยืนยันความสัมพันธ์ที่ยาวนาน  สะท้อนการยอมรับและมั่นใจในรัฐบาลชุดนี้ จะมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งปี 62  พร้อมเดินหน้าโรดโชว์ชักชวนนักลงทุนมาลงทุนในโครงการอีอีซี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางเยือนไปสหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่19-26 มิถุนายนนี้ โดย นายกรัฐมนตรี และนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะ จะเดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) เวลา 23.50 น. คืนวานนี้ (19 มิ.ย.)  ไปยังกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศ

พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อังกฤษและฝรั่งเศสเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (อียู) ทำให้ที่ผ่านมามีข้อจำกัดในการปฏิสัมพันธ์กับประเทศไทย แต่เมื่อคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปมีมติปรับความสัมพันธ์กับประเทศไทยให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะการเดินทางเยือนของผู้นำและรัฐมนตรี จึงถือเป็นสัญญาณที่ดีในมิติต่างๆ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นที่ยอมรับของอังกฤษและฝรั่งเศส และเป็นเครื่องยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับทั้ง 2 ประเทศที่มีมาอย่างยาวนาน


พล.ท.วีรชน กล่าวว่า การเยือนครั้งนี้มีความสำคัญ เพราะเราไปในขณะที่เรามีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในหลายเรื่อง ทั้งการปฏิรูปและการก้าวกระโดดทางเศรษฐกิจ ที่หลายประเทศทั่วโลกให้ความสนใจ ทั้งสหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้เป็นที่ยอมรับ ทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจ สังคม การแข่งขัน และการลงทุน ที่จะมีการจัดโรดโชว์ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี)

“ไม่อยากให้มองมิติทางการเมืองเพียงอย่างเดียว อยากให้มองมิติอื่นด้วย ทั้งศักยภาพประเทศ ขีดความสามารถในการเเข่งขันที่ไม่แพ้ชาติอื่น และจุดแข็งของความเป็นคนไทย อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่าประเทศสำคัญในภูมิภาคยุโรปที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมประชาธิปไตย มีความมั่นใจว่าประเทศไทยจะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562” พล.ท.วีรชน กล่าว

พล.ท.วีรชน กล่าวว่า การเดินทางไปอังกฤษของนายกรัฐมนตรีจะมีโอกาสหารือข้อราชการทวิภาคีกับนางเทเรซา เมย์ (The Rt. Hon. Theresa May MP) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งเป็นไปตามคำเชิญ รวมถึงกล่าวเปิดงาน Transforming Thailand แสดงวิสัยทัศน์แก่เอกชนไทยและอังกฤษ พบกับภาคธุรกิจที่สำคัญของอังกฤษ เช่น ประธานบริษัทโรลส์-ลอยซ์ และศึกษาดูงานเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรบุคคล ด้านอุตสาหกรรมดิจิทัล ของบริษัทเพียร์สัน (Pearson) 


“แสดงให้เห็นว่าไทยยังคงมีความสำคัญกับประเทศสมาชิกอียู ที่สำคัญคือ การโรดโชว์อีอีซี ที่ได้รับความสนใจ เป็นที่ยอมรับ จากการเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน สอดคล้องกับการขับเคลื่อนประเทศไทยแลนด์ 4.0 ที่ส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ทั้งด้านการบิน สมาร์ทซิตี้ ดิจิทัลและการท่องเที่ยว” พล.ท.วีรชน กล่าวและว่า นอกจากนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะนำรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และคณะภาคเอกชน เดินทางมาเยือนอังกฤษและฝรั่งเศส พร้อมจัดกิจกรรมเอกชนคู่ขนาน ระหว่างภาคธุรกิจไทยและอังกฤษและฝรั่งเศสด้วย

พล.ท.วีรชน กล่าวว่า ส่วนที่ฝรั่งเศส นายกรัฐมนตรีจะได้พบหารือกับนายเอมานูว์แอล มาครง (H.E. Mr. Emmanuel Macron) ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และพบกับนายกีโยม โฟรี (Mr.Guillaume Faury) ประธานบริษัท Airbus Commercial Aircraft  และจะร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนความตกลง Joint Venture Company Principles Agreement ระหว่างบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กับบริษัท Airbus และสัญญาซื้อขายดาวเทียมธีออส 2 (THEOS II) ระหว่างสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน – GISTDA) กับบริษัท Airbus Defence & Space SAS นอกจากนี้ยังได้ร่วมพิธีเปิดตัวแบบจำลองศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance, Repair and Overhaul – MRO) และพบหารือกับภาคเอกชนชั้นนำของฝรั่งเศสที่สนใจลงทุนในประเทศไทย  

“สิ่งที่ประเทศไทยจะได้จากการเดินทางเยือนทั้ง 2 ประเทศครั้งนี้ ถือเป็นการพบปะปูทางความร่วมมือระหว่างกันของภาคเอกชนอังกฤษ และฝรั่งเศส ผลักดันการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี มีความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมกับบริษัท Airbus เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งศูนย์บริการซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ของแอร์บัสในประเทศไทย การซื้อขายดาวเทียมธีออส 2 (THEOS II) คำนวณสภาพอากาศจะช่วยให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกพืชได้ผลผลิตดีขึ้น ขณะที่การจัดตั้งศูนย์ซ่อมของ Rolls-Royce งบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท เป็นการยกระดับเป็นศูนย์ซ่อมเครื่องบินในภูมิภาคครบวงจร” พล.ท.วีรชน กล่าว 

พล.ท.วีรชน กล่าวว่า สำหรับการขยายความร่วมมือด้านการศึกษาและนวัตกรรมกับสถาบันชั้นนำของอังกฤษและฝรั่งเศส ภาคเอกชนไทยยังได้ลงนาม MOU ความร่วมมือใน 4 สาขาหลัก ได้แก่ เกษตรและอาหาร โครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม เมืองอัจฉริยะ และพลังงานทดแทน ระหว่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และสภานายจ้างฝรั่งเศส (MEDEF Internationall) ด้วย .- สำนักข่าวไทย      

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

“เหนือ-อีสาน-กลาง” อากาศเย็น ภาคใต้ฝนตกหนัก

กรมอุตุฯ รายงานภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง