นนทบุรี 19 มิ.ย. – พาณิชย์ประเมินสงครามการค้าสหรัฐกับจีนกระทบไทยโดยตรงไม่มาก แต่ควรเร่งหาตลาดใหม่กระจายความเสี่ยง เตรียมเชิญภาครัฐ-เอกชนหารือเร็ว ๆ นี้
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวถึงการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมาสหรัฐประกาศเก็บภาษีเข้าสินค้าจีน 1,102 รายการ มุ่งสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับนโยบาย Made in China 2025 และจีนตอบโต้มาตรการดังกล่าวทันทีด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ 649 รายการ พุ่งเป้าสินค้าสำคัญที่มีนัยยะทางการเมือง กลุ่มการเกษตร ยานยนต์ และสินค้าประมง โดยมาตรการของทั้ง 2 ประเทศมีมูลค่าการค้าใกล้เคียงกันประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า มาตรการโต้ตอบระหว่างสหรัฐและจีน ย่อมส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการค้าโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และบั่นทอนบรรยากาศการค้าการลงทุนโลก ในระยะสั้นตลาดเงินและตลาดทุนมีแนวโน้มผันผวนจากความกังวลต่อสถานการณ์และความไม่แน่นอนด้านนโยบายของทั้ง 2ประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการค้าการลงทุนด้วย โดยอาจมีการชะงักงันในการสั่งซื้อสินค้าและผู้ส่งออกในจีนและสหรัฐอาจเริ่มมองหาตลาดอื่นทดแทน อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบการส่งออกสินค้าที่เข้าข่ายถูกขึ้นภาษีระหว่างกันทะลักเข้ามาไทยสูงขึ้นกว่าปกติ หากมีสัญญาณผิดปกติ กระทรวงพาณิชย์ก็มีมาตรการต่าง ๆ ที่ดำเนินการได้ทันที
ทั้งนี้ แม้ว่าสถานการณ์อาจมียังคงตึงเครียดระยะ 2 – 3 เดือนข้างหน้า แต่ในที่สุดแล้วทั้ง 2 ฝ่ายอาจมีท่าทีผ่อนคลายข้อกีดกันทางการค้าลง หากประชาชน เกษตรกร หรือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐได้รับผลกระทบจากสินค้าขึ้นราคา/ต้นทุนสูงขึ้น เพราะจีนคัดเลือกกลุ่มสินค้าเป้าหมายที่เป็นฐานเสียงโดยตรงของประธานาธิบดีทรัมป์ จึงอาจถูกกดดันให้ทบทวนมาตรการขึ้นภาษีก็เป็นได้ ส่วนระยะยาวประเมินว่าสงครามทางการค้าครั้งนี้อาจทำให้เกิดการปรับรูปแบบและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ โดยกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบมีแรงจูงใจแสวงหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาเสถียรภาพการค้าระยะยาว
สำหรับผลกระทบต่อการค้าไทยนั้น ผอ.สนค. กล่าวว่า จากการคำนวณตัวเลข scenario ทั้งเชิงรุก/เชิงรับของการส่งออกไทย พบว่า โดยรวมแล้วไทยยังจะได้ประโยชน์จากการที่อาจส่งสินค้าไปขายทดแทนได้บางประเภท แต่มูลค่าไม่มากประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณร้อยละ 0.42 ของมูลค่าการส่งออกปี 2560 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจำเป็นต้องกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ที่สร้างพันธมิตรทางการค้าการลงทุนกับประเทศอื่น ๆ ให้มากและเร็วขึ้น โดยเฉพาะต้องเร่งเปิดตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงการส่งออก เปิดการเจรจาทางการค้า และกระชับมิตรกับประเทศใหม่ ๆ มากขึ้น ซึ่งการเยือนยุโรปของคณะนายกรัฐมนตรีก็ถือส่วนหนึ่งของการดำเนินการยุทธศาสตร์ใหม่ดังกล่าว
ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าลงและมีความเป็นไปได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงไปต่อเนื่อง มองว่าเป็นโอกาสดีต่อผู้ส่งออกในการเร่งผลักดันส่งออกสินค้าและรายได้การส่งออกในรูปเงินบาทสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกจำเป็นต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ความไม่แน่นอนของสงครามการค้าอย่างใกล้ชิด โดยกระทรวงพาณิชย์จะติดตามสถานการณ์และความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องทั้งฝั่งสหรัฐและจีน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในภาพรวม ขณะนี้ไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง นอกจากเรื่องตลาดทุนตลาดเงินที่มีความผันผวนสูง แต่เพื่อเป็นการเตรียมรับมือกับสงครามการค้าจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมาหารือกันโดยเร็วต่อไป.-สำนักข่าวไทย