กรุงเทพฯ
5 มิ.ย.-ไออาร์พีซี แจงหุ้นตกเป็นไปตามภาวะตลาดโดยรวม คาดไตรมาส 2 ยังสดใส
เดินหน้าซื้อกิจการเม็ดพลาสติกเพิ่มฐานกำลังผลิต
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่
บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นไออาร์พีซีที่ลดต่ำลง
โดยวันนี้ ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 6.25 บาทนั้น ก็เป็นไปตามภาวะตลาดหุ้นที่จะเห็นได้ว่านักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นใน
ตลาดต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม พื้นฐานของบริษัทยังดี
การลงทุนต่างๆอย่างเป็นไปตามแผนงาน
โดยในส่วนตัวก็ได้มีการเข้าซื้อหุ้นไออาร์พีซีเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ คาดกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม
(GIM) ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันในไตรมาส 2/61 จะใกล้เคียงระดับ 14.08
เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 1/61 แม้ว่าค่าการกลั่น (GRM)
อาจจะอ่อนตัวลง แต่ส่วนต่าง (สเปรด)
ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังอยู่ระดับที่ดี
ประกอบกับบริษัทมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในหลายด้าน
โดยเฉพาะการการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) อีก 3
แสนตัน/ปีที่แล้วเสร็จในปีที่แล้ว รวมถึงการดำเนินโครงการ Everest
forever ซึ่งเป็นโครงการที่จะดำเนินการต่อจากโครงการ
EVEREST เพื่อเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรในทุกด้านที่แล้วเสร็จ
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ และยังคาดว่าในไตรมาส 2/61
จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน เพราะราคาขณะนี้ยังยืนระดับสูงราว
74-75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากระดับปิดในไตรมาส 1/61 ที่อยู่ระดับ 62.7
เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล¶
ส่วนความคืบหน้าในการเจรจาซื้อหรือร่วมลงทุน (M&A)
ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับ 2-3 ราย คาดว่าจะสรุปดีลได้อย่างน้อย 1
รายภายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ซึ่งจะเป็นการร่วมลงทุนกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในประเทศ
เน้นธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติก หรือการนำเม็ดพลาสติกไปใช้
โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มองว่ายังมีโอกาสการจะขยายตัวได้อีกมาก
หลังความต้องการใช้รถยนต์ยังมีอยู่มาก
ขณะที่รถยนต์รุ่นใหม่จะเน้นการประหยัดพลังงาน
ทำให้ผู้ประกอบการหันมาลดชิ้นส่วนที่เป็นโลหะโดยใช้ชิ้นส่วนพลาสติกมาทดแทนมากขึ้น
ก็จะเป็นโอกาสสำหรับบริษัทซึ่งเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติก
“เม็ดเงินที่จะใช้ลงทุนในอนาคตนั้น
ปัจจุบันมีศักยภาพลงทุนในช่วง 5 ปีได้ราว 1 แสนล้านบาท หรือกว่า 3
พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะมาจากเงินสดที่จะมาจากการดำเนินงานราว 1 หมื่นล้านบาท/ปี
และศักยภาพในการกู้เงินอีกราว 1 หมื่นล้านบาท/ปี เนื่องจากมีหนี้สินต่อทุน (D/E)
ต่ำที่ระดับ 0.56 เท่าเมื่อสิ้นไตรมาส
1/61 โดยในส่วนนี้ราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ใช้ลงทุนในโปรแกรม MARS
ส่วนอีก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ในในการทำดีล M&A ส่วนที่เหลืออีก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำรองไว้ลงทุนในอนาคต”นายสุกฤติย์
กล่าว
ส่วนความคืบหน้าการขยายกำลังการผลิตโรงงานโอเลฟินส์เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีกราว
50% ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบและศึกษาความเป็นไปได้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน
1-2 เดือน อย่างไรก็ตามบริษัทยังเดินหน้าโครงการภายใต้โปรแกรม
MARS ซึ่งจะเป็นการลงทุนราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
เพื่อสร้างโรงงานอะโรเมติกส์ ขนาด 1.3 ล้านตัน/ปี แบ่งเป็น พาราไซลีน 1 ล้านตัน/ปี และเบนซีน 3 แสนตัน/ปี
ซึ่งคาดว่าการออกแบบด้านวิศวกรรมโครงการ (Front End Engineering
Design Process :FEED) จะแล้วเสร็จสิ้นปี 61 และหาผู้รับเหมาได้ในกลางปี 62 ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปีครึ่ง แล้วเสร็จในปี 65-สำนักข่าวไทย¶
–