IRPC พร้อมปรับตัวรับความผันผวนปี 68

กรุงเทพฯ 11 ก.พ. – IRPC พร้อมปรับตัวรับความผันผวนปี 68 มุ่งสร้างความเข้มแข็งจากธุรกิจหลักปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ท่าเรือและอสังหาริมทรัพย์ รุกขยายธุรกิจที่เชี่ยวชาญและแสวงหาธุรกิจใหม่ พร้อมคว้าโอกาสเติบโตจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ


นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) เปิดเผย ว่าแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมี ปี 2568 ยังคงเผชิญภาวะอุปทานล้นตลาดจากกำลังผลิตใหม่ในจีน ขณะที่ ความต้องการเติบโตร้อยละ 1 – 3 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ผู้ผลิตบางรายต้องบริหารกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารและเทคโนโลยีที่เติบโตดี ส่วนสินค้าคงทน เช่น บ้านและรถยนต์ เติบโตต่ำจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว ปัจจัยที่ต้องติดตามได้แก่ นโยบายกีดกันทางการค้าสหรัฐฯ ที่อาจกระทบเศรษฐกิจจีน ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจทำให้ราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบผันผวน และข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นในสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปเตรียมบังคับใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและห่วงโซ่การผลิต ผู้ประกอบการจึงต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับกฎเกณฑ์ใหม่

ทั้งนี้ IRPC เร่งปรับตัวและสร้างการเติบโตด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพต่อเนื่องจากปี 25667 ที่ สามารถสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มผ่านโครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) ซึ่งเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 โดยผลิตและจำหน่ายน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 และน้ำมันอากาศยาน Jet A-1 ตามมาตรฐานสากล JIG (Joint Inspection Group) เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก บริษัทฯ ได้ดำเนินการรับมือกับวัฏจักรปิโตรเคมีที่ชะลอตัว โดยมุ่งพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีชนิดพิเศษ (Specialty Products) เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 เพื่อตอบสนองตลาดที่มีศักยภาพสูง อาทิ บรรจุภัณฑ์ การแพทย์ ยานยนต์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศรวมทั้ง ได้ดำเนินการเพิ่มกำลังการผลิต Floating Solar เฟส 2 อีก 8.5 เมกะวัตต์ และพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ บนที่ดินของบริษัทฯ เพื่อสร้างรายได้และเสริมศักยภาพด้านพลังงานสะอาดในอนาคต


อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ความผันผวนของราคาพลังงาน ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงทั้งจากอุปทานล้นตลาดจากกำลังการผลิตใหม่ ประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคปรับตัวลดลง กระทบต่อส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปี 2567 เปรียบเทียบกับปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิสำหรับปี 2567 จำนวน 281,711 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 เทียบกับปีก่อน โดยมีสาเหตุจากปริมาณขายลดลงร้อยละ 4 และราคาขายเฉลี่ยลดลงร้อยละ 2 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2567 ปรับตัวลดลงจากปีก่อน โดยมีปัจจัยกดดันจากความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจจีน สหรัฐอเมริกา และยุโรปที่ชะลอตัว รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในหลายประเทศ ส่งผลให้เกิดการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 2,496 ล้านบาท หรือ 0.98 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ขณะที่มีการกลับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่ได้รับ (กลับรายการ NRV) 953 ล้านบาท หรือ 0.38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และกำไรจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง (Realized Oil Hedging) 879 ล้านบาท หรือ 0.35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากรายการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ บันทึกขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันสุทธิ (Net Inventory Loss) รวม 664 ล้านบาท หรือ 0.25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 17,691 ล้านบาท หรือ 6.99 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 3 จากปีก่อน และมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 4,476 ล้านบาท ลดลง 1,278 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 22

นอกจากนี้ บริษัทฯ บันทึกค่าเสื่อมราคา 9,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากปีก่อน เป็นผลจากสินทรัพย์ที่เพิ่มจากโครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) ที่มีการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน 2567 ประกอบกับมีต้นทุนทางการเงินสุทธิจำนวน 2,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นตามตลาด อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มีกำไรจากการลงทุนจำนวน 989 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง จำกัด (WHA IER) ที่เริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายที่ดินตั้งแต่ไตรมาส 2/2567 จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 2567 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 5,193 ล้านบาท มากกว่าปี 2566 ที่ร้อยละ 78


ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ในอัตรา 0.01 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินประมาณ 204 ล้านบาท โดยจะเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 2 เมษายน 2568 ต่อไป. -511- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เครื่องบินภูเก็ตมุ่งหน้ามอสโก ขอลงจอดฉุกเฉินที่สุวรรณภูมิ

เที่ยวบิน 777-300ER สายการบิน Aeroflot ขึ้นจากภูเก็ตไปมอสโก เตรียมลงสุวรรณภูมิ หลังบินวนกลางทะเลอันดามันหลายชั่วโมง จากปัญหาระบบลงจอดขัดข้อง

ไข้หวัดใหญ่ระบาด

ไข้หวัดใหญ่ระบาดในสหรัฐ-เสียชีวิตแล้ว 13,000 ราย

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ หรือซีดีซี รายงานว่า พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในฤดูกาลนี้อย่างน้อย 24 ล้านคนแล้วทั่วสหรัฐ

ตัดไฟเมียนมา

มาตรการตัดไฟเมียนมาได้ผล กลุ่มเว็บพนันปลดพนักงานแล้วกว่าร้อยคน

มาตรการตัดไฟเมียนมาได้ผล กลุ่มเว็บพนันออนไลน์และกลุ่มสแกมเมอร์ที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ปลดพนักงานแล้วกว่า 100 คน เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้า ทำให้พนักงานทยอยเดินทางออกจากท่าขี้เหล็ก กลับมาทางด่าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย อย่างต่อเนื่อง

ข่าวแนะนำ

เข้มทางบก แก๊งลักลอบเข้าเมือง หนีไปทางน้ำ

หลังมาตรการ Seal Stop Safe ชายแดนของรัฐบาล ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 30 มกราคม เพื่อเข้มงวด ตั้งจุดตรวจ จุดสกัดตามเส้นทางต่างๆ พบขบวนการลักลอบเข้าเมืองด้านชายแดนกาญจนบุรี ซึ่งฝั่งตรงข้ามคือ เมืองพญาตองซู ของเมียนมา เลี่ยงไปใช้เส้นทางน้ำแทน

ทองไทยใกล้เป้าหมายบาทละ 5 หมื่น

ทองไทยเข้าภาวะกระทิง เปลี่ยนแปลงคึกคักวันนี้ (11 ก.พ.) ปรับเปลี่ยน 27 รอบ เข้าใกล้ 48,000 บาทต่อบาททองคำ มองเป้าหมายถัดไปที่ 50,000 บาทต่อบาททองคำ ด้านสภาทองคำโลก ชี้การซื้อทองเป็นการลงทุนมากกว่าการใช้เป็นเครื่องประดับ ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นตลาดทองคำที่แข็งแกร่งในปี 67 สูงเป็นอันดับ 7 ของโลก