กรุงเทพฯ 28 ก.ย. – อันดับความสามารถแข่งขันระดับโลกไทยตกมาอยู่อันดับ 34 ของโลกจากปีที่แล้วอันดับ 32
รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ในฐานะพันธมิตรของ เวิลด์ อีโคโนมิกส์ ฟอรั่ม (ดับเบิลยูอีเอฟ) ในการสำรวจและจัดทำ WEF’s Gobal Competitiveness Report 2016-2017 หรือ รายงานความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จํานวน 138 ประเทศทั่วโลก พบว่า ภาพรวมขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ปี พ.ศ. 2559-2560 อยู่ในอันดับที่ 34 ของโลก อันดับลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ อันดับ 32 โดยมีคะแนน 4.6 เท่ากันจากคะแนนเต็ม 7 คะแนน
ปีนี้ประเทศในกลุ่มอาเซียนหลัก ๆ อันดับตกลง ยกเว้นสิงคโปร์ หากเทียบเชิงคะแนนประเทศไทยคะแนนคงที่ที่ 4.64 ส่วนประเทศที่เลื่อนอันดับขึ้นมา แทนที่ประเทศไทยคือ ประเทศชิลี อันดับ 33 กับสเปน 32 โดยประเทศที่อันดับดีขึ้นที่เหลือได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย จากอันดับ 23 เป็นอันดับ 19 ประเทศอิสราเอล จากอันดับ 27 ขึ้นมาเป็นอันดับ 24 ประเทศไอซ์แลนด์ จากอันดับ 29 ขึ้นเป็นอันดับ 27
อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจมหาภาคของไทยอันดับดีขึ้น จากอันดับที่ 27 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 13 ของโลก ทั้งนี้ นักธุรกิจมองประเทศไทย ว่า ปัญหาในการทำธุรกิจในเรื่องการคอร์รัปชั่นลดลง ศักยภาพของรัฐบาลก็ดีขึ้น
สำหรับภาพรวมขีดความสามารถทางการแข่งขันกลุ่มประเทศในเอเซีย ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 10 ไม่เปลี่ยนแปลง อันดับหนึ่งคือ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง นิวซีแลนด์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมา
ส่วนประเทศไทยเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่ม ASEAN + 3 ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับไทยเป็นอย่างสูงนั้น ผลปรากฏว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับในลำดับที่ 6 เมื่อเทียบกับกลุ่ม ASEAN+3 ทั้งหมด โดยเป็นรองประเทศ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย เกาหลีใต้ และ จีน โดยดัชนีชี้วัดของไทยที่โดดเด่นในกรณีนี้ ประกอบไปด้วย ความน่าดึงดูดใจของทรัพย์สินทางธรรมชาติ ที่ได้รับอันดับที่หนึ่งเมื่อเทียบกับประเทศใน ASEAN+3
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังให้ความสำคัญของรัฐบาลที่มีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเดินทาง ที่ได้รับอันดับ 2 เป็นรองเพียงประเทศสิงคโปร์เท่านั้น นับว่าสร้างความโดดเด่นให้กับธุรกิจท่องเที่ยวของไทยอย่างสูง ตามมาด้วย การใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Extent of Virtual Social Networks Use) ที่ได้รับอันดับที่ 2 เป็นรองเพียงประเทศสิงคโปร์เช่นกัน อีกทั้ง ในแง่ของ ความแข็งแกร่งของธนาคาร และ การเข้าถึงตลาดทุนภายในประเทศ (Local Capital Market Access) ได้รับอันดับ 3 เป็นรองเพียงประเทศ สิงคโปร์ และ ญี่ปุ่น เท่านั้น รวมถึงปัจจัยทางการด้านการตลาด (Extent of Marketing) และ ประสิทธิผลในการใช้การตลาดและแบรนด์ดิ้ง (Effectiveness of Marketing and Branding) ในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ได้รับอันดับที่ 3 เช่นกันทั้งสองประเด็น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศใน ASEAN+3 นับว่าเป็นการสะท้อนศักยภาพของประเทศไทยด้านความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจทั้งทางด้านการเงินและการตลาดในเวที ASEAN+3 ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ เวิลด์ อีโคโนมิกส์ ฟอรั่ม มีข้อแนะนำประเทศไทยในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งการก้าวพ้น กับดักประเทศรายได้ปานกลาง คือ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของนวัตกรรมเป็นพิเศษ นอกจากนี้เพื่อเตรียมรองรับต่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมยุค 4.0 ประเทศจะต้องให้ความสำคัญกับทักษะของบุคลากรที่จำเป็นสำหรับอนาคตการพัฒนาของภาคธุรกิจ และความสามารถทางด้านนวัตกรรม
สำหรับ 10 อันดับประเทศในโลก ที่มีความสามารถในการแข่งขันมากที่สุด ประจำปี พ.ศ.2559-2560 เรียงตามลำดับดังนี้ สวิตเซอร์แลนด์ ตามมาด้วย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สวีเดน สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ฮ่องกง และฟินแลนด์ -สำนักข่าวไทย