กรุงเทพฯ 30 เม.ย. – สนข. ร่วมมือกับไจก้าศึกษาและจะเสนอทิทางนโยบายการจัดทำแผนแม่บทรถไฟฟ้า ระยะ 2 ภายในปีนี้
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายชิโระ ซะโดะชิมะ เอกอัครราชฑูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เปิดสัมมนา “The Blueprint for the 2nd Bangkok Mass Rapid Transit Master Plan (M-MAP 2)” เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมกันเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อ (ร่าง) ทิศทางนโยบายการจัดทำแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะ 2 (M-MAP 2)
นายอาคม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินงานตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ 1 มาระยะหนึ่งแล้วนั้น ทำให้การพัฒนาเมืองเปลี่ยนไปจากเดิมเนื่องจากมีการขยายตัวของเขตเมือง การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรอย่างต่อเนื่องที่ก่อให้เกิดปัญหาจราจรติดขัดอย่างมาก และการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้น แผนแม่บทฯ ระยะ 2 จึงเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลของโครงข่ายหลักตามแผนฯ ระยะ ที่ 1 และเพิ่มเติมโครงข่ายให้ครอบคลุมและทั่วถึงในพื้นที่ที่มีความจำเป็น รวมทั้งสอดรับกับการขยายตัวของเมืองในปัจจุบันและอนาคต สำหรับการสัมมนาฯ ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่ทุกภาคส่วนจะได้มีส่วนร่วมในการเสนอข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเพื่อให้แผน M-MAP2 มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
นายชิโระ ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กล่าวว่า รถไฟฟ้าในเมืองมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากการเพิ่มจำนวนประชากรของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดังนั้น จึงยินดีที่มีความคืบหน้าในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางราง ระยะที่ 1 (M-MAP 1) ซึ่งรัฐบาลไทยได้รับการออกแบบร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) ปี 2553 เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นยังกล่าวต่อว่าที่มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องนั้นจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าให้มากขึ้นและลดปัญหาการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้ ทางญี่ปุ่นพร้อมที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเข้าถึงสถานีรถไฟได้อย่างง่ายดายและเปลี่ยนถ่ายการเดินทางไปยังระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ได้สะดวกมากขึ้นสำหรับทุกคนรวมทั้งผู้สูงอายุ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถตระหนักถึงสังคมเพื่อคนทั้งมวล
ส่วนการจัดทำแผนแม่บทขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลระยะที่ 2 นั้น ไจก้าร่วมสนับสนุนดำเนินการทบทวนศึกษาและเสนอทิศทางนโยบายการจัดทำแผนแม่บทฯ ระยะ 2 ให้กับ สนข. เพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตและรองรับทิศทางการพัฒนาเมืองในอนาคต โดยได้เริ่มดำเนินโครงการนี้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ปัจจุบันมีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 80
สำหรับการสัมมนาครั้งนี้ได้นำเสนอสาระสำคัญเกี่ยวกับทิศทางนโยบายและมาตรการสำคัญในการพัฒนาแผนแม่บท M-MAP 2 คือ เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพิ่มความสามารถในการรองรับการคมนาคมขนส่งของระบบขนส่งมวลชนในปัจจุบันให้สูงขึ้น เช่น การเพิ่ม ขบวนรถไฟฟ้า และความถี่ในการให้บริการ เป็นต้น ขับเคลื่อนให้มีการดำเนินการตามแผนระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ 1 เพิ่มโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่ศูนย์กลางเมืองที่ยังไม่มีโครงข่าย ส่งเสริมให้มีรูปแบบการขนส่งสาธารณะต่อเนื่องหลายรูปแบบ
เพื่อส่งเสริมและพัฒนาโครงข่ายรถไฟในภาพรวมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พัฒนาระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่ที่มีความต้องการการเดินทางสูงแต่โครงข่ายยังเข้าไม่ถึง พัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้มีการเชื่อมโยงระหว่างศูนย์กลางเมืองและเมืองรอง ส่งเสริมให้มีการใช้โครงข่ายรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน โดยให้มีการเชื่อมต่อกับโครงข่ายระบบขนส่งมวลชน ส่งเสริมให้มีสถานีขนส่งสำหรับเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างศูนย์กลางเมืองและเมืองรอง รวมทั้งมีการพัฒนาพื้นที่ย่านสถานีโดยรอบ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงสถานี การพัฒนาจุดเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการเดินทาง เพิ่มความสะดวก และความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ บูรณาการการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานี เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ผู้โดยสารสามารถเข้าถึงข้อมูลการเดินทางได้อย่างสะดวก นโยบายด้านอัตราค่าโดยสารที่ดึงดูดผู้ใช้บริการและเงินสวัสดิการสนับสนุนค่าใช่จ่ายการเดินทางด้วย ระบบขนส่งสาธารณะจากนายจ้างประจำ นโยบายด้านความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวก ความรวดเร็วในการเดินทางและการแก้ไขปัญหา จัดให้มีขบวนรถไฟชั้นธุรกิจ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงสนามบิน การจัดเตรียมแนวเส้นทางที่เหมาะสมในการเดินทางเข้าสู่สนามบิน ลดระยะเวลาในการเดินทางไปสนามบิน เช่น จัดให้มีรถไฟขบวนด่วนพิเศษ เป็นต้น โดยภายหลังการสัมมนาฯ ทาง สนข. และ JICA จะรวบรวมความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ เพื่อนำไปปรับปรุงทิศทางนโยบายการจัดทำแผน M-MAP2 ที่มีกำหนดจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2561.-สำนักข่าวไทย