อุทัยธานี 14 มี.ค.- “พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ” บินด่วนตามคืบหน้าเหตุอุกอาจชิงทรัพย์ร้านทองและทำร้ายเจ้าของร้านบาดเจ็บเมื่อ 2 วันก่อน ล่าสุดจับผู้ก่อเหตุได้แล้วที่ชลบุรีเป็นชายต่างชาติและหญิงไทย แม้ยังให้การปฏิเสธ แต่ จนท.มั่นใจพยานหลักฐานเอาผิดได้แน่ ส่วนทองของกลางเหลือเพียงบางส่วน เพราะถูกนำไปขายย่านรังสิต
เมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ (14 มี.ค. ) พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ลงพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี พร้อมแถลงร่วมกับ พล.ต.ต.บัญชา ปั้นประดับ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี และนายไมตรี ไตรติลานันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ สภ.หนองฉาง กรณีจับกุมนายมูฮัมหมัด อิบราฮิม เด็ม เอ อัล-มาลีกี อายุ 30 ปี เชื้อชาติ กาตาร์ สัญชาติ กาตาร์ และนางสาวอาอิซะห์ อุดมวัฒนานนท์ อายุ 32 ปี ชาวไทย ได้ที่พัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งทั้งสองก่อเหตุชิงทรัพย์ห้างทองแท้แม่ตังกวย เขตเทศบาลตำบลหนองฉาง อ.หนองฉาง เมื่อเวลา 19.00 น.วันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา และยังทำร้ายเจ้าของร้านบาดเจ็บก่อนชิงทองคำรูปพรรณน้ำหนักรวม 188 บาท มูลค่า 3.7 ล้านบาท โดยใช้ยานพาหนะรถยนต์ รุ่นวีออส สีขาว ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนในการหลบหนี ทางชุดสืบสวนสามารถแกะรอยได้อย่างรวดเร็ว พร้อมขอศาลจังหวัดอุทัยธานีอนุมัติหมายจับและตามจับกุมตัวไว้ได้พร้อมของกลางทองคำรูปพรรณจำนวน 50 เส้น น้ำหนัก 143.65 บาท (2,184.17กรัม) ซึ่งทองที่ขาดหายไปจากที่เจ้าของร้านแจ้งน้ำหนักทองไปจำนวน 188 บาทนั้น หลังก่อเหตุนายมูฮัมหมัด ได้นำทองไปขายบริเวณย่านรังสิต จังหวัดปทุมธานี
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ กล่าวว่า ถึงแม้ผู้ต้องหายังไม่การใด ๆ และยังปฏิเสธ ก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหา แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจมั่นใจในพยานหลักฐานและของกลางชะแลงที่ผู้ก่อเหตุใช้เป็นอาวุธ รวมทั้งหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะดำเนินคดีส่งฟ้องศาลเอาผิดได้ เบื้องต้นได้ดำเนินคดีผู้ต้องหาทั้งสองในข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้อาวุธ เป็นเหตุให้ผู้อื่นเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจโดยใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปเพื่อให้พ้นการจับกุม บุกรุกเคหะสถานในเวลากลางคืน ทำให้เสียทรัพย์ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ นอกจากนี้ นายมูฮัมหมัด ยังถูกแจ้งข้อหาเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยการอนุญาตสิ้นสุด ตาม พ.ร.บ.เข้าเมือง มีโทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท.-สำนักข่าวไทย

