กรุงเทพฯ 6 มี.ค.- “ศรีวราห์” ยันไม่มีความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ และไม่หวั่นกรณีเรียกร้องให้เปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวน
พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีที่มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้เปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวนคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด และพวก โดยยืนยันว่าตนเองไม่มีความขัดข้อง เพราะดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย มั่นใจตนเองเร่งรัดติดตามคดีได้เร็วที่สุดแล้ว โดยขณะนี้ยังต้องรอผลการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ว่าเนื้อสัตว์ที่พบเป็นเนื้อของสัตว์ชนิดใด เนื่องจากผ่านไปกว่า 3 สัปดาห์ ก็ยังไม่ได้รับสรุปรายงานแต่อย่างใด
สำหรับกลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวในขณะนี้ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ แต่ยืนยันพนักงานสอบสวนดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอน
ในส่วนการดำเนินคดีฐานติดสินบนเจ้าพนักงานกับนายเปรมชัยนั้น นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ผู้กล่าวหา ยังไม่เดินทางเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติม จึงสั่งการให้พนักงานสอบสวนเข้าสอบปากคำภายในอุทยานฯให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 8 มีนาคมนี้ เพื่อเร่งดำเนินการเอาผิดกับผู้ต้องหา ส่วนเรื่องที่มีการกล่าวอ้างว่ามีการสอบซ้ำซากนั้น ยืนยันว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างแน่นอน เนื่องจากพนักงานสอบสวนสอบปากคำประจักษ์พยานไปเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น แต่ยังมีประเด็นข้อกฎหมายที่ต้องสอบเพิ่มในรายละเอียดให้ชัดเจน
พลตำรวจเอกศรีวราห์ ยังกล่าวอีกว่ากรณีที่มีนายเปรมชัยและพวกให้การว่าซื้อเนื้อสัตว์จากที่อื่นเข้าไปประกอบอาหารภายในพื้นที่อุทยานนั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะหมู่บ้านที่อยู่ใกล้สุดห่างไป 50 กิโลเมตร ประกอบกับพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ปิด ไม่อนุญาตให้มีการจำหน่ายสินค้า
อย่างไรก็ตาม รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่าตำรวจและกรมอุทยานไม่ได้มีปัญหาในการประสานงาน ขณะนี้คดีมีความคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 90 ดำเนินคดีกับนายเปรมชัยและพวกรวมทั้งสิ้น 9 ข้อหา และกำลังดำเนินการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาวุธปืน และติดสินบนเจ้าหน้าที่ คาดสามารถสรุปสำนวนคดีส่งฟ้องได้ภายใน 24 มีนาคมนี้
ทั้งนี้ พลตำรวจเอกศรีวราห์ ยืนยันว่า ไม่มีข้อหาเจตนาฆ่าสัตว์ป่า แต่เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหาร่วมกันฆ่าสัตวป่ากับนายเปรมชัยและพวก ตั้งแต่แรก วอนกลุ่มคนที่วิพากวิจารณ์ศึกษาข้อกฎหมายให้ชัดเจน
ด้าน พลตำรวจตรีธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงผลการตรวจพิสูจน์อาวุธปืน 3 กระบอกที่ยึดได้ในที่เกิดเหตุ ยืนยันว่าอาวุธปืนทั้งหมดเป็นของนายเปรมชัยจริง ส่วนกระสุนปืนที่ทำให้เสือดำเสียชีวิต เป็นกระสุนลูกปลายที่สามารถบรรจุในปืนลูกซองขนาดเบอร์ 20 ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับ 1 ใน 3 กระบอกที่ตรวจยึดได้ การตรวจสอบยังพบว่าเป็นการยิงนัดเดียว ระยะใกล้ประมาณ 10 เมตร แต่กระสุนลูกปลายกระจายเป็น 8 รู และเจอหัวกระสุนลูกปลายที่เสือดำ 3 เม็ด
ส่วนการจำลองวิถีกระสุนที่เจ้าหน้าที่กรมอุทยานเข้าไปจำลองในที่เกิดเหตุ โดยมีเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน 7 ร่วมด้วยนั้น ยืนยันว่าไม่สามารถระบุวิถีกระสุนได้ จึงนำมาประกอบสำนวนไม่ได้.-สำนักข่าวไทย