วิจัยให้ ป.1-3 ยกเลิกการเรียน 8 กลุ่มสาระ

กทม.27ก.พ.-กอปศ.-สภาการศึกษา-สพฐ.ร่วมวิจัยพัฒนากรอบสมรรถนะผู้เรียน ป.1-3 เตรียมยกเลิกการเรียน 8 กลุ่มสาระ หลังพบโรงเรียนติวเข้าเรียนชั้นป.1- เด็กการบ้านและสอบเยอะเกินไป พร้อมนำร่องหลักสูตรในบางโรงเรียน


ศ.กิตติคุณนพ.จรัส สุวรรณเวลา ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา(กอปศ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ครั้งที่ 9/2561ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนากรอบสมรรถนะผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น(ป.1-3) สำหรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลังได้รับเสียงสะท้อนว่าหลักสูตรแกนกลางกำหนดให้เด็กต้องเรียนถึง 8 กลุ่มสาระวิชา ซึ่งมีมากเกินไป ตัวชี้วัดก็มากตาม เด็กต้องเคร่งเครียดกับการสอบ อีกทั้งครูเองก็ไม่ค่อยมีเวลาให้เด็กเท่าที่ควร เพราะต้องเตรียมสอนและสอบ ขณะเดียวกันพบมีการเรียนติวเพื่อสอบเข้าชั้นป.1ด้วยทั้งที่การเรียนของเด็กในวัยนี้ควรมีความยืดหยุ่นสูง เพราะอยู่ในช่วงปรับตัวและเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ จึงควรปฏิรูปหลักสูตร เพื่อตอบสนองผู้เรียนให้มีสมรรถนะที่อยู่ในโลกปัจจุบันและอนาคตได้ 


ศ.กิตติคุณ นพ.จรัส กล่าวต่อไปว่า กอปศ.จึงร่วมกับสภาการศึกษาและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมวิจัยโครงการดังกล่าว พร้อมทั้งกำหนดกรอบเวลาให้วิจัยแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.ปีนี้ เพื่อนำร่องใช้หลักสูตรในบางโรงเรียน โดยผลการวิจัยนำสู่การยกเลิกการเรียน 8 กลุ่มสาระวิชา  โดยการวิจัยจะเริ่มศึกษาการเรียนในระดับชั้น

ป.1-3 ก่อนขยายผลไประดับชั้นอื่นต่อไป


นอกจากนี้ที่ประชุมได้หารือถึงข้อเสนอเพื่อปฏิรูปการศึกษาในด้านแนวทางการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการจัดการศึกษา โดยปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษาที่อยู่ในระบบการศึกษากว่า 11 ล้านคน ซึ่งอยู่ในสถานศึกษาเอกชน 2.5 ล้านคน จากสถานศึกษาทั้งในและนอกระบบกว่า 12,000 แห่ง ซึ่งหากจะปฏิรูปการศึกษาก็ต้องปฏิรูปโรงเรียนเอกชนด้วย หลังพบว่าที่ผ่านมารัฐยังสนับสนุนไม่ดีเท่าที่ควร จึงมีการเสนอให้พิจารณารายละเอียดที่ควรให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาเอกชนใน 4 ด้าน ได้แก่ ลดความเหลื่อมล้ำเพื่อสนับสนุนเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม , คุณภาพการศึกษาและประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ , ส่งเสริมให้โรงเรียนมีธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง และให้เอกชนเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันระดับประเทศ 

ขณะเดียวกันการปฏิรูปการศึกษาเอกชนอาจกระทบกับโครงสร้างภายในกระทรวงศึกษาธิการด้วย เพราะสถานศึกษาเอกชนอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ซึ่งหากมีเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไข เช่น แก้ปัญหาสวัสดิการครูเอกชน ภาษีที่ดินสิ่งก่อสร้าง การจ้างครูต่างประเทศและการเปิดอนุบาล 3 ขวบ เป็นต้น กอปศ.ก็จะเสนอให้กระทรวงแก้ไขทันทีได้ 

ทั้งนี้ จะนำรายละเอียดหรือข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาต่างๆบรรจุลงไปพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติคู่ขนานไปด้วย เพื่อใช้เป็นหลักการปฏิบัติในอนาคต.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง