นนทบุรี 15 ก.พ. – พาณิชย์ยันมาตรการลดสตอกน้ำมันปาล์มดิบ ดันราคาผลปาล์มดิบสูงขึ้นตามเป้า คาดสิ้นเดือน ก.พ.สูงกว่า 4.20 บาท/กิโลกรัม ส่วนการนำเข้าถั่วเหลืองไม่กระทบราคาน้ำมันพืชปาล์ม
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่าปัจจุบันราคาผลปาล์มดิบทั่วประเทศยังมีราคาแตกต่างกันมาก และราคาที่สูงขึ้นช่วงนี้ถือว่าไม่มีประโยชน์ เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยวเกษตรกรไม่มีผลผลิตมาจำหน่าย กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ขอชี้แจงว่าราคาผลปาล์มที่สูงขึ้น เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) มีมติให้ใช้มาตรการลดปริมาณสตอกน้ำมันปาล์มดิบที่มีมากกว่า 500,000 ตัน โดยได้เร่งรัดให้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น ในเดือนธันวาคม 2560 ส่งออก 88,304 ตัน และเดือนมกราคม 2561 ส่งออก 69,000 ตัน รวม 157,304 ตัน และปริมาณการส่งออกปี 2560 ถึงเดือนมกราคม 2561 รวม 372,126 ตัน
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานได้รับมติ กนป.ไปดำเนินการ โดยใช้น้ำมันปาล์มดิบในน้ำมันไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นจากวันละ 4 ล้านลิตร เป็น 6 ล้านลิตร และเก็บสตอกน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นอีก 50,000 ตัน ส่งผลให้ปริมาณสตอกน้ำมันปาล์มดิบที่สูงขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2560 จำนวน 532,651 ตัน ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สิ้นเดือนมกราคม 2561 ลดลงเหลือ 407,841 ตัน และคาดว่าสิ้นเดือนกุมภาพันธ์จะลดลงเหลือ 314,579 ตัน ซึ่งจะใกล้เคียงกับสตอกระดับปกติที่ 300,000 ตัน ทำให้ราคาผลปาล์มน้ำมันที่ 18% ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนธันวาคม 2560 ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.37 บาท เดือนมกราคม 2561 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.44 บาท ปัจจุบัน (14 ก.พ. 61) เพิ่มขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 4.20 บาท และน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 21.50 บาท โดยแนวโน้มราคาผลปาล์มน้ำมันที่ 18% จะสูงขึ้นอีก คาดว่าภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ราคาจะสูงขึ้นมากกว่ากิโลกรัมละ 4.20 บาท ซึ่งเป็นราคาเป้าหมายที่เหมาะสมของกระทรวงพาณิชย์ ในส่วนของราคาผลปาล์มภาคกลางที่ต่ำกว่าภาคใต้มีสาเหตุจากพื้นที่ปลูกปาล์มภาคกลางส่วนใหญ่จะอยู่ไกลจากโรงงานสกัดที่ตั้งอยู่ใน จ.ชลบุรี ทำให้ราคารับซื้อต้องหักค่าขนส่งไปโรงงานสกัด
สำหรับการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง มีความต้องการใช้เมล็ดถั่วเหลืองเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันถั่วเหลือง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ แต่เนื่องจากผลผลิตไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีการนำเข้าประมาณ 2 ล้านตันต่อปี รัฐบาลจึงกำหนดให้มีการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้ข้อผูกพันองค์การการค้าโลก ( WTO) ในโควตา ไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลานำเข้า ภาษีร้อยละ 0 (นอกโควตา ภาษีร้อยละ 80) โดยให้ผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลือง ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม โรงงานอาหารสัตว์ และสมาคมผู้เลี้ยงสัตว์ มีสิทธิ์นำเข้าโควตารวม 6 สมาคม 18 บริษัท ซึ่งมีการกำกับดูแลให้นำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองเพื่อใช้ตามวัตถุประสงค์ และต้องรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตในประเทศทั้งหมดในราคาตามกลไกตลาด แต่ไม่ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำที่กำหนด สำหรับเมล็ดถั่วเหลืองที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์จะไม่สามารถนำมาผลิตน้ำมันถั่วเหลืองได้
อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านการการผลิตน้ำมันถั่วเหลืองจะใช้เมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตในประเทศและเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้าผลิตได้น้ำมันพืชถั่วเหลืองประมาณ 0.292 ล้านตันต่อปี คิดเป็นเพียงร้อยละ 15 ของปริมาณการผลิตน้ำมันพืชทั้งหมด (น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันพืชชนิดอื่นๆ) โดยใช้ในภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 40 และใช้ในการบริโภคภาคครัวเรือน ร้อยละ 60 ซึ่งปกติราคาขายปลีกน้ำมันพืชถั่วเหลืองจะสูงกว่าน้ำมันพืชปาล์ม แต่หากราคาขายปลีกน้ำมันพืชปาล์มเพิ่มสูงขึ้นใกล้เคียงกับราคาน้ำมันพืชถั่วเหลือง ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนอาจจะหันมาใช้น้ำมันพืชถั่วเหลืองทดแทนน้ำมันพืชปาล์ม แต่ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันพืชปาล์มขวดลิตรละ 30 – 33 บาท ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันพืชถั่วเหลืองขวดลิตรละ 39 – 41 บาท ราคาน้ำมันพืชปาล์มต่ำกว่าน้ำมันพืชถั่วเหลืองขวดลิตรละ 9-11 บาท จึงไม่มีผลทำให้การบริโภคน้ำมันพืชปาล์มลดลง.-สำนักข่าวไทย