ยธ.26 ม.ค.-ทหารอากาศ เข้าขอบคุณ ก.ยุติธรรมที่ให้ความช่วยเหลือ หลังถูกตำรวจจับกุม-ตรวจค้นพบยาไอซ์กว่า 30 กรัมซุกอยู่ในรถยนต์ส่วนตัว แต่ยืนยันไม่ใช่และขอต่อสู้คดี และต่อมาศาลพิพากษายกฟ้อง ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พร้อมด้วยครอบครัวของ พ.จ.อ.อภิชาติ ขำศรี เข้าพบนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม(ยธ.)เพื่อขอบคุณที่กระทรวงให้ความช่วยเหลือ พ.จ.อ.อภิชาติ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและตรวจค้นพบยาไอซ์ จำนวนกว่า 30 กรัมซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ส่วนตัวของ พ.จ.อ.อภิชาติ ซึ่ง พ.จ.อ.อภิชาติ ยืนยันว่า ยาเสพติดจำนวนนี้ไม่ได้เป็นของตนและขอต่อสู้คดี ต่อมาศาลได้พิพากษายกฟ้องระบุว่า จำเลยทั้ง 4 ไม่มีความผิด เนื่องจากมีพยานหลักฐาน ยืนยันว่า ฝ่ายจำเลยไม่ได้เป็นผู้ครอบครองยาเสพติด ตามที่ตำรวจตรวจพบในรถยนต์ส่วนตัว แต่ถูกผู้ไม่หวังดีแอบยัดยาเสพติดไว้ในรถขณะนำรถเข้าซ่อมที่อู่แห่งหนึ่งก่อนหน้านี้ และได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากจำคุกนาน 7 เดือน 6 วัน
รองปลัด ยธ. กล่าวว่า คดีขอเวลา 2 สัปดาห์ ในการพิจารณาสรุปเรื่องนี้ในทุกมิติ ทั้งเรื่องของเงินช่วยเหลือเยียวยา ,การคุ้มครองครองพยานในอนาคต,รวมทั้งสืบหาผู้กระทำผิดเกี่ยวข้องในคดีเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป เนื่องจากคดีนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และยาเสพติด ซึ่งการดำเนินงานจะทำตามแนวทางกฎหมายให้เรื่องจบโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ อยากให้คดีนี้เป็นอีกหนึ่งคดีตัวอย่างของผู้ที่เชื่อว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมและไม่รู้กระบวนการทางกฎหมาย อยากจะให้เข้าไปติดต่อที่หน่วยงานยุติธรรมจังหวัด เพื่อจะได้ประสานหนแนวทางการช่วยเหลือก่อนที่เรื่องจะเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล
ด้านนายษิทรา กล่าวว่า หลังจากนี้จะต้องไปปรึกษากับปลัด ยธ.เรื่องการคุ้มครองพยาน ส่วนในแง่การดำเนินการหลังจากนี้จะปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายเพื่อเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องเนื่องจากที่ผ่านมามีพยาน หลักฐานชัดเจนที่มาเบิกความว่าฝ่ายผู้ไม่หวังดีมีการใส่ร้าย และทำเป็นขบวนการจนทำให้ศลเห็นข้อพิรุจและยกฟ้องผู้เสียหายทั้งหมดในศาลชั้นต้น ซึ่งคดีนี้ยังไม่ถือว่าสิ้นสุด เนื่องต้องรอว่าอัยการจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ ซึ่งระยะเวลาอุทธรณ์จะมีเวลา 1 เดือนนับจากวันที่ศาลตัดสิน ทางทีมทนายจะทำหนังสือขอความธรรมไม่ให้มีการอุทธรณ์ เนื่องจากเชื่อมั่นในพยานหลักฐาน และหลังจากนี้จะเดินทางไปปรึกษากับอธิบดีดีเอสไอ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือสืบสวนคดีจนทำให้พ้นผิดในชั้นต้น
พ.จ.อ.อภิชาติ กล่าว่า ขณะนี้ส่วนตัวไม่ได้ติดใจการทำหน้าที่ของตำรวจชุดจับกุม แต่สิ่งที่ต้องการอยากให้นำตัวผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพล ที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการกลั่นแกล้ง สิ่งที่กังวลคือความปลอดภัยของตนและครอบครัวจึงอยากให้มีการคุ้มครองพยาน และส่วนตัวอยากกลับไปรับราชการทหารตามเดิม หากสิ้นสุดคดีนี้จะทำเรื่องกลับไปยังต้นสังกัดเพื่อขอกลับรับราชการดังเดิม
สำหรับคดีนี้สืบเนื่องมาจาก พ.จ.อ. อภิชาติ ขำศรี และพวก 4 คน ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว ขณะมาทำบุญที่วัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยตำรวจตรวจค้นพบยาไอซ์ จำนวนกว่า 30 กรัม ซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ส่วนตัวของ พ.จ.อ.อภิชาติ ตรงเบาะรถด้านคนขับ ซึ่งเจ้าตัวยืนยันยาเสพติดจำนวนนี้ไม่ได้เป็นของตน
ทั้งนี้ พ.จ.อ.อภิชาติ มีอาชีพรับราชการทหาร ต่อมาเพื่อนได้ชักชวนให้ไปทำงานเสริมเป็นการ์ดให้กับเสี่ยคนหนึ่ง แต่ก็ทำงานกับเสี่ยคนดังกล่าวเพียงประมาณ 4-5 เดือนก็ลาออก เนื่องจากมาทราบภายหลังว่า เสี่ยคนดังกล่าวทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย จึงถอนตัวออกมา หลังจากนั้นในวันที่ 23 มีนาคม 2560 เสี่ยคนดังกล่าวพร้อมพวก ก็ได้เดินทางมาตามหา พ.จ.อ.อภิชาติ ที่บ้านของพ่อในจังหวัดสิงห์บุรี แต่ไม่พบตัวพร้อมกับข่มขู่ว่าจะทำให้หมดอนาคต
หลังจากนั้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2560 ก็เกิดเหตุนายทหารท่านหนึ่งขับรถมาชนรถยนต์ของ พ.จ.อ.อภิชาติ และนายทหารที่ชนก็อาสารับผิดชอบนำรถไปซ่อมให้ที่อู่ซ่อมรถของคนที่สนิทกัน ต่อมาวันที่ 17 มิถุนายน 2560 พ.จ.อ.อภิชาติและเพื่อน 3 คน เดินทางมาทำบุญที่วัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้มีตำรวจขอเข้าตรวจค้นรถ และพบยาไอซ์จำนวนกว่า 30 กรัม ซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ส่วนตัวของพ.จ.อ.อภิชาติ ด้านเบาะฝั่งคนขับ แต่ก็ได้ให้การปฎิเสธ พร้อมกับเดินหน้าสู้คดีมาโดยตลอด โดยมีทนายษิทรา เป็นทนายความในคดีนี้ให้ .-สำนักข่าวไทย