สธ.14 ม.ค.-กรมสุขภาพจิต สำรวจพบเด็กไทยวัยประถมป่วยโรคสมาธิสั้น สมองทำหน้าที่บกพร่องมากถึง 1 ล้านคน เร่งจัดระบบการดูแลช่วยเหลือให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนมือถือเชื่อมระบบการดูแลร่วม ‘ครู-ผู้ปกครอง –เจ้าหน้าที่สาธารณสุข’ คาดทดลองใช้เม.ย.นี้
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มเด็ก ว่า ที่พบมากที่สุดในวัยเด็กและน่าเป็นห่วงที่สุดในขณะนี้คือโรคสมาธิสั้น ( Attention Deficit Hyperactivity Disorder :ADHD) หรือที่เรียกว่าโรคไฮเปอร์ โรคนี้เป็นโรคทางจิตเวชเกิดจากภาวะบกพร่องในการทำหน้าที่ของสมอง ทำให้เด็กเกิดความผิดปกติที่สำคัญ 3 ด้าน คือมีช่วงสมาธิสั้นกว่าปกติ ( Inattention) มีความสนใจต่ำ ซุกซนอยู่ไม่นิ่งหรือซนผิดปกติ ( hyperactivity) และพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ( Impulsivity) อาการมักเกิดก่อนอายุ 7 ขวบและต่อเนื่องติดต่อกันนานกว่า 6 เดือน หากไม่ได้รับการดูแลรักษาตั้งแต่ต้น จะกลายเป็นปัญหาระยะยาวส่งผลต่อพัฒนาการในด้านลบไปจนถึงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ เช่น ต่อต้านสังคม เกเร ใช้ความรุนแรงต่อคนอื่น ติดยาเสพติด และเกิดภาวะซึมเศร้า เป็นต้น
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวต่อว่า ผลสำรวจของกรมสุขภาพจิตปี2555 พบเด็กวัยประถมศึกษาอายุ 6-12 ปีมีอัตราป่วยโรคสมาธิสั้นร้อยละ 8.1 หรือมีประมาณ 1 ล้านคน ผู้ชายพบร้อยละ 12 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่พบร้อยละ 10 และป่วยมากกว่าผู้หญิงในอัตรา3ต่อ1 พบอัตราป่วยสูงสุดในภาคใต้ร้อยละ 11.7 รองลงมา คือภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 9.4 ภาคกลางร้อยละ 6.7 กรุงเทพฯร้อยละ 6.5 และภาคเหนือร้อยละ 5 โดยเด็กสมาธิสั้นร้อยละ 50 หรือราว 5 แสนคนมีปัญหาสุขภาพจิต เนื่องจากการปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ไม่ดี เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง กรมสุขภาพจิตได้เร่งพัฒนาระบบบริการ โดยให้สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเรื่องการรักษาโรคจิตเวชในเด็กและวัยรุ่น เร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สร้างนวตกรรมบริการ เพื่อให้เด็กที่ป่วยโรคสมาธิสั้นทุกพื้นที่ได้รับการดูแลทั่วถึงและต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพที่สุด
ด้าน พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม.กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาเด็กที่ป่วยโรคสมาธิสั้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด
ทั้งครอบครัว โรงเรียนและโรงพยาบาล ขณะนี้สถาบันได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขตสุขภาพที่ 4 รพ.สวนปรุง รพ.ยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์จ.เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานีและสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนมือถือและแทปเล็ต ใช้ช่วยติดตามการดูแลเด็กวัยเรียนที่ป่วยโรคสมาธิสั้นแบบบูรณาการร่วมระหว่างผู้เกี่ยวข้องโดยตรง 3 ฝ่ายคือ ครู ผู้ปกครองและบุคลากรทางการแพทย์
สำหรับแอพพลิเคชั่นนี้มีส่วนประกอบหลัก 1.ความรู้เรื่องโรค 2.การประเมินลักษณะอาการเด็กด้วยแบบมาตรฐานของกรมสุขภาพจิต 3.การติดตามผลความก้าวหน้าของเด็กสมาธิสั้นทั้งการเรียนและพฤติกรรม และ4.การประเมินความเครียดครู พ่อแม่ แอพฯนี้จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถจัดการแบบแผนชีวิตของเด็กโดยเฉพาะชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง สามารถเรียกใช้งานได้อย่างสะดวกทุกพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของครู ผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข คาดว่าจะทดลองใช้ในเดือนเมษายน 2561นี้ และจะปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพก่อนขยายผลใช้ทั่วประเทศต่อไปโดยเร็ว
.-สำนักข่าวไทย