รร.เบอร์เคลียร์ 12 ต.ค. – กระทรวงการคลังเตรียมรวบรวมความเห็นภาคเอกชนและฝ่ายต่าง ๆ ที่มีต่อกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเสนอ สนช. ขณะที่อัตราโครงสร้างภาษีในบัญชีต่อท้ายเสนอ ครม.เห็นชอบอีกครั้ง
หอการค้าไทยจัดสัมมนาหัวข้อ “ข้อควรรู้เกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ในร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ…..” ซึ่งกฎหมายดังกล่าวรัฐบาลตั้งหมายว่าจะนำมาบังคับใช้ปี 2560 นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังเปิดสัมมนา ว่า เพื่อรวบรวมความคิดเห็นภาคเอกชนและฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนำเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่จะมีการพิจารณากฎหมายดังกล่าว หลังจากร่างกฎหมายผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้วเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา นอกจากนี้ อัตราภาษีที่จัดทำท้ายบัญชีของกฎหมายจะมีการนำเสนอให้ ครม.พิจารณาอนุมัติ ทั้งนี้ ตามเป้าหมายรัฐบาลวางไว้กฎหมายดังกล่าวจะต้องมีผลบังคับใช้ไตรมาส 1/2560 อย่างไรก็ตาม จะเป็นไปตามกรอบเวลาดังกล่าวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ สนช.ด้วย
ส่วนกระทรวงการคลังยืนยันกฎหมายดังกล่าวจะมีประโยชน์ลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรม โดยผู้ได้รับผลกระทบจะเป็นประชาชนที่มีบ้านหลังที่ 2 ส่วนเกษตรกรร้อยละ 99 จะไม่ได้รับผลกระทบ ภาษีดังกล่าวจะครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม แนวคิดของกฎหมายจะกำหนดให้ผู้ถือครองที่ดินออกมาพัฒนาเพื่อให้ประโยชน์และมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ขณะที่นายอธิป พีชานนท์ ประธานคณะกรรมการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หอการค้าไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการเห็นว่ากฎหมายดังกล่าวจะมีผลกระทบบ้างแต่เป็นส่วนน้อย เชื่อว่ากฎหมายจะมีระยะเวลาผ่อนปรนให้ผู้ประกอบการสามารถยังพัฒนาโครงการและที่ดินที่ซื้อมาในอัตราภาษีเดิมภายใน 3 ปี ขณะที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมีการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาระยะเวลาสั้น ๆ เฉลี่ยประมาณ 1 ปี เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนบ้านหลังที่ 2 คาดว่าผู้มีบ้านลักษณะดังกล่าวจะมีการปรับตัว โดยให้คนในครอบครัวมามีชื่อถือครอง ส่วนวงเงินราคาบ้านที่เกินกว่า 50 ล้านบาทนั้น จากการสำรวจพบว่าบุคคลที่มีบ้านราคากว่า 50 ล้านบาท มีประมาณ 9,000 รายเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนเห็นว่ามีประเด็นที่ต้องให้ความสนใจและทำให้เกิดความเป็นธรรม เช่น ผู้ถือครองที่ดินซึ่งเป็นที่ตาบอดไม่สามารถจำหน่ายโดยไม่มีผู้สนใจซื้อ รวมทั้งประชาชนที่ถือที่ดินที่ถูกรอนสิทธิ์ห้ามจำหน่ายจ่ายโอน หากนำอัตราภาษีก้าวหน้ามาเก็บประชาชนกลุ่มนี้จะเกิดความไม่เป็นธรรม เนื่องจากแม้อยากจะขายที่แต่ไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ อยากให้พิจารณาความพร้อมการจัดเก็บสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่จะเป็นผู้ดำเนินการในอนาคตว่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านี้มีความรู้และความพร้อมดำเนินการมากน้อยแค่ไหน.-สำนักข่าวไทย