กก.ปฏิรูปวางกรอบ 2 ประเด็นรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0

ทำเนียบฯ 8 พ.ย.- นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เน้น 2 ประเด็นหลัก คือการปฏิรูประบบราชการ และการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21  มุ่งปลดล็อคปัญหาสำคัญ และสร้างรูปแบบใหม่ในการบริหารจัดการ  


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบายไทยแลนด์4.0 ครั้งที่ 1/2560 ณ ห้องประชุมตึกภักดีบดินทร์  ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งคณะกรรรมการประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภาคราชการ เอกชน ประชาสังคม และวิชาการ โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เป็นฝ่ายเลขานุการ  คณะกรรมการมีหน้าที่กำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์การดำเนินการตามนโยบาย ไทยแลนด์4.0 พิจารณากำหนดหรือคัดเลือกแผนงานโครงการต้นแบบที่สอดคล้องต่อการดำเนินการ พร้อมทั้งกำกับติดตามเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม     

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมว่า ที่ประชุมได้พิจารณากรอบการดำเนินการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การปฏิรูประบบราชการ และ 2.การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 การปฏิรูประบบราชการ ประกอบด้วย 1.การปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ (Service Reform) 2.การพัฒนาและการรังสรรค์นวัตกรรมในรูปแบบใหม่ (Sandbox) 3.การปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory Reform) และ 4.การเป็นรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government)   


รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ จะดำเนินการเร่งด่วนใน 4 เรื่อง ได้แก่ 1.การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สุขภาพของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยจะแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบให้ยืดหยุ่นมากขึ้น และจัดตั้งกองทุนส่งเสริมผู้ประกอบการและสมุนไพร มุ่งลดคำขอคงค้างให้หมดภายในต้นปี 2562 ปรับการดำเนินการให้เร็วขึ้น ลดการนำเข้ายา เพิ่มการเข้าถึงยาและเพิ่มมูลค่าการผลิตเครื่องมือแพทย์  

2.การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ที่จะแก้ปัญหา Backlog สิทธิบัตรการประดิษฐ์ให้หมดภายในปี 2563 พร้อมเพิ่มศักยภาพผู้ตรวจสอบสิทธิบัตร  3.การจดทะเบียนที่ดินของกรมที่ดิน ซึ่งคิวรังวัดมีขั้นตอนมากและการเข้าถึงข้อมูลที่ดินมีข้อจำกัด โดยจะแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงไม่ต้องเดินทางมาระวังชี้แนวเขต เพื่อลดภาระการชี้แนวเขต ลดข้อพิพาทและเวลารอคิวรังวัดจากเดิม 440 วัน ให้เหลือน้อยกว่า 60 วัน

4.การนำเข้าและส่งออกของกรมศุลกากร ที่มีขั้นตอน แบบฟอร์มมาก ซ้ำซ้อน ระยะเวลาดำเนินการนาน ค่าใช้จ่ายสูง และขาด National Single Window Operator ที่แท้จริง โดยจะพัฒนาโครงการต้นแบบในการเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานใน 4  สินค้ายุทธศาสตร์ของประเทศ ได้แก่ ยาง ข้าว อ้อยและน้ำตาลทราย วัตถุอันตราย และสินค้าแช่แข็ง โดยมุ่งลดภาระผู้นำเข้าส่งออกสินค้าปีละไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และลดภาระการผลิตแบบฟอร์มและค่าส่งเอกสาร  


นายสุวิทย์ กล่าวว่า สำหรับทางด้านการพัฒนาและการรังสรรค์นวัตกรรมในรูปแบบใหม่ จะพัฒนา 4 เรื่อง ได้แก่ 1.การแก้ไขพื้นที่ป่าและการใช้ประโยชน์พื้นที่จังหวัดน่าน และกลไกการบริหารจัดการ ที่มีข้อพิพาทการใช้พื้นที่ บุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และภาคราชการไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที โดยจะให้พื้นที่จังหวัดน่านเป็นพื้นที่ทดลองการกำหนดการบริหารจัดการพื้นที่ป่าโดยบุคคลภายนอกและการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร เพื่อลดการบุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์และส่งเสริมการเศรษฐกิจฐานชีวภาพ

2. Public School โรงเรียนที่ให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามาบริหารโดยรัฐยังคงเป็นเจ้าของ โดยจะกำหนดพื้นที่ทดลองให้การดำเนินนโยบายเป็นไปอย่างอิสระ จัดตั้งคณะกรรมการบริหาร Public School และดำเนินการในรูปแบบ Social Enterprise เพื่อสร้างนวัตกรรมในการจัดการศึกษา สร้างศักยภาพของนักเรียนและสร้างความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐด้านการจัดการศึกษา แก้ไขคุณภาพการศึกษาของประเทศอยู่ในระดับต่ำ (PISA 2015) 3.พลังงาน (Smart City โดยเทคโนโลยี Smart Grid) มุ่งส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าใช้เอง สร้างความมั่นคงให้ระบบไฟฟ้า ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ ลดภาระการลงทุน มุ่งแก้ไขปัญหาที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถผลิตไฟฟ้าใช้ได้เอง แต่ติดข้อกฎหมายและการไม่อนุญาตให้ซื้อขายไฟฟ้ากันเอง

4.หน่วยราชการ 4.0 (High Performance Organization : HPO) โดยขอยกเว้นกฎระเบียบ หลักเกณฑ์ เพื่อแก้ปัญหาความไม่คล่องตัวในการบริหารองค์กร มุ่งสู่องค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูง ซึ่งมีหน่วยงานต้นแบบ 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมบังคับคดี และสำนักงาน ก.พ.ร.    

นายสุวิทย์ กล่าวว่า สำหรับการปฏิรูปกฎหมาย  มีข้อเสนอการแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ โดยแบ่งประเภทกฎหมายที่ต้องแก้ไขออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.ข้อเสนอที่ต้องขอมติคณะรัฐมนตรี  2.ข้อเสนอที่ต้องมีการยกร่างกฎหมาย นำเสนอคณะรัฐมนตรี  คณะรักษาความสงบแห่งชาติ 3.ข้อเสนอที่ส่งให้ศาลยุติธรรมพิจารณา 4.ข้อเสนอแนะที่จะส่งคณะทำงานยกร่าง พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ 

ส่วนด้านการเป็นรัฐบาลดิจิทัล หน่วยงานภาครัฐยังไม่มีความพร้อมในการเชื่อมโยงข้อมูล ประชาชน ไม่มีช่องทางขอรับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์จากภาครัฐ และไม่มีหน่วยงานทำหน้าที่ทะเบียนกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาครัฐ จึงจะจัดทำ Data Exchange Center และ Citizen Inbox ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนสามารถร้องขอเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ล่วงหน้าก่อนไปขอรับบริการได้ และหน่วยงานสามารถขอเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ตรงจากหน่วยงานอื่นได้หากประชาชนไม่ได้ขอเอกสารมาก่อน 

นายสุวิทย์ กล่าวว่า ในด้านการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 ได้ให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยน คนไทย 2 ด้าน ได้แก่ 1.Transition of Learning ปรับเปลี่ยนคนไทยให้ใฝ่เรียนรู้ มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ตามหลักและเหตุผล สามารถสังเคราะห์บูรณาการข้อมูล มีทักษะด้านเทคโนโลยี สร้างนวัตกรรม และ 2.Transition of Culture ให้คนไทยพอเพียง มีวินัย สุจริต จิตสาธารณะ รับผิดชอบ โดยขับเคลื่อนให้เกิดการปรับเปลี่ยนสังคมไทยอย่างเป็นองค์รวม ซึ่งมีโครงการที่จะดำเนินการ เช่น โครงการ “ก้าวออกมากล้า” ที่จะมีการจัดกิจกรรมในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ และโครงการ “ทำดีเยี่ยงพ่อ” เป็นต้น เพื่อสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพ ขับเคลื่อนสังคมไทยเป็นสังคมที่ Clean & clear, Free & fair, Caring & sharing  

นายสุวิทย์ กล่าวว่า ในการดำเนินการได้วางกลไกการทำงานโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้น ๆ ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพหลัก และให้ส่วนราชการทำหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติ และมีคณะกรรมการชุดดังกล่าว และอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการเกี่ยวกับการขับเคลื่อนระบบราชการ 4.0 เป็นที่ปรึกษาสนับสนุนการขับเคลื่อนการปฏิรูป เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบายไทยแลนด์4.0 ต่อไป.-สำนักข่าวไทย  

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เก๋งซิ่งแหกโค้งชนเสาเหล็ก ไฟลุกไหม้คลอกคนขับดับสลด

ลพบุรี 6 มิ.ย. – เก๋งหรูซิ่งเสียงดังลั่น หมุนโชว์กลางสี่แยก ก่อนแหกโค้งชนเสาเหล็กป้ายข้างทางไฟลุกไหม้เสียหายทั้งคัน คลอกคนขับดับสลด เมื่อเวลา 03.30 น.ที่ผ่านมา ร.ต.ท.ชาตรี ทรัพย์นิยมพงศ์ ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี รับแจ้งรถเก๋งชนเสาข้างถนน ไฟลุกไหม้ทั้งคัน บนถนนทางเข้าบ้านหนองน้ำทิพย์ หมู่ 7 ต.เขาพระงาม อ.เมืองลพบุรี พร้อมแจ้งรถน้ำดับเพลิงป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลตำบลเขาพระงาม รุดไปดับไฟ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมตรวจสอบ จุดเกิดเหตุพบไฟกำลังลุกไหม้โหมทั่วไปทั้งคันรถ สังเกตดูเบื้องต้นคนขับติดอยู่ที่เบาะนั่งสภาพหมดสติ เจ้าหน้าที่เร่งระดมฉีดน้ำใช้เวลาประมาณ 15 นาที เพลิงสงบ จากการตรวจสอบด้านซ้ายรถชนอัดอยู่กับเสาเหล็กป้ายบอกทาง สภาพเหลือแต่ซาก เบื้องต้นพบเป็นรถเก๋งยี่ห้อยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ไม่ทราบสี-ทะเบียน ถูกไฟไหม้ เหลืออยู่ครึ่งป้าย ภายในรถพบร่างชายถูกไฟไหม้เกรียม ยังไม่ทราบชื่อว่าเป็นใครมาจากไหน สอบถามนางเล็ก ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองนั่งเฝ้าเครื่องสูบน้ำใกล้จุดเกิดเหตุ ได้ยินเสียงรถเก๋งคันดังกล่าวขับซิ่งมาจากแยกเขาพระงาม มุ่งหน้าไปทางโคกสำโรง เสียงท่ออย่างดังลั่น พอมาถึงสามแยกบ้านหนองน้ำทิพย์ ได้หมุนโชว์กลางแยก 1 รอบ จากนั้นขับไปยูเทิร์นกลับมาอีกรอบ เลี้ยวเข้าทางแยกหนองน้ำทิพย์ได้ประมาณ 300 เมตร […]

ตำรวจเร่งตามหาเจ้าของเงิน 12 ล้าน วางทิ้งข้างถังขยะ

นนทบุรี 6 มิ.ย. – ตำรวจเร่งตามหาเจ้าของเงินสด 12 ล้าน ในกล่องพลาสติก วางทิ้งข้างถังขยะคอนโดฯ ย่านเมืองทองธานี จากกรณีพลเมืองดีพบธนบัตรไทยจำนวนมาก ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในกล่องพลาสติก บริเวณคอนโดฯ ย่านเมืองทองธานี จ.นนทบุรี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบเอกสารเกี่ยวกับหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายและซองจดหมาย ปรากฏชื่อบุคคลและหน่วยงานรัฐในเอกสาร จึงได้ยึดธนบัตรดังกล่าวมาที่ สภ.ปากเกร็ด เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเงินอะไร ได้มาถูกต้องหรือไม่ และใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เบื้องต้นพบเป็นเงินสดจำนวน 12 ล้านบาท และเมื่อเจ้าหน้าที่นำสายรัดของธนบัตรดังกล่าวไปตรวจสอบ พบว่ามีการจ่ายเงินออกมาจำนวนดังกล่าวตั้งแต่ปี 2563    พลเมืองดีเล่าว่า เวลาประมาณ 20.00 น. ของเมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.) ตนและเพื่อนเดินไปลิฟต์ที่ชั้น 4 ซึ่งข้างลิฟต์เป็นที่ทิ้งขยะ เห็นกล่องสภาพดีวางอยู่ ก็จะเก็บไปใช้ ซึ่งกล่องถูกเปิดแง้มเอาไว้และมีเสื้อผ้าวางทับด้านบน จึงเปิดดูพบเงินสดฉบับละ 1,000 บาท เป็นมัดๆ จำนวนมาก จึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ ความคืบหน้าในการติดตามหาตัวคนที่นำกล่องเงินมาทิ้ง ตำรวจสืบสวน สภ.ปากเกร็ด ได้ลงพื้นที่ไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณจุดที่พบเพื่อหาเบาะแสคนที่นำกล่องพลาสติกมาทิ้ง เบื้องต้นยังไม่พบผู้ต้องสงสัย นอกจากนี้ยังได้พยายามติดต่อกับ นายทวีวัฒน์ […]

น้ำมันรั่วลงทะเล

สั่งเจ้าท่าระงับเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือ Phoenix Jamnagar

ชลบุรี 6 มิ.ย.- “มนพร” สั่งการกรมเจ้าท่าตั้งศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาและควบคุมสถานการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือ Phoenix Jamnagar บริเวณท่าเรือบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ศรีราชา จังหวัดชลบุรี นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งการให้ นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานงานป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน เพื่อ ระงับเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือ Phoenix Jamnagar ซึ่งเป็นเรือบรรทุกน้ำมันดิบสัญชาติสิงคโปร์ หมายเลข IMO 9828962 โดยเหตุเกิดบริเวณทุ่นรับน้ำมันกลางทะเล (SBM2) ของบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ในเขตพื้นที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 00.54 น. โดยมีสาเหตุมาจากท่อส่งน้ำมันที่ชำรุด ส่งผลให้น้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่ทะเลในปริมาณประมาณ 20 คิว หรือราว 20 ตัน กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการประเมินสถานการณ์โดยเร่งดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานงานฯ ณ โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทไทยออยล์ จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นศูนย์กลางในการควบคุมเหตุการณ์ ทั้งนี้กรมเจ้าท่าในฐานะเลขานุการศูนย์ประสานงาน ได้ประสานกองทัพเรือจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ในการขจัดคราบน้ำมัน จากการสำรวจพื้นที่ พบว่าลักษณะของคราบน้ำมันเป็นคราบสีดำหรือน้ำตาลบาง ๆ […]

นักศึกษาเจอคอลเซ็นเตอร์ปั่นหัวถือมีดบุกโรงพัก

เชียงใหม่ 5 มิ.ย. – แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกนักศึกษาเชียงใหม่ สูญกว่า 2 ล้านบาท พ่อแม่เครียดหมดเนื้อหมดตัว บางรายถูกปั่นหัวให้ถือมีดบุกโรงพักเย้ยตำรวจ พบเฉพาะ สภ.ภูพิงค์ฯ มีเหยื่อโดนหลอกลักษณะนี้แล้วกว่า 300 ราย กล้องวงจรปิดบันทึกภาพนักศึกษาสาว ชั้นปีที่ 4 ขี่รถจักรยานยนต์มาจอดภายใน สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นเดินไปเข็นวีลแชร์ที่อยู่ตรงหัวมุมอาคาร แล้วก็เข็นไปเข็นมาอยู่อย่างนั้น ก่อนจะถือมีดไปที่บริเวณห้องรับแจ้งความ และอ้างว่า จะมาขอพบตำรวจนายหนึ่ง แต่ไม่มีชื่อนี้อยู่ที่โรงพัก จึงขอพบ พันตำรวจเอก มนัสชัย อินทร์เถื่อน ผู้กำกับ สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ เพราะไปฆ่าคนตายมา ขณะนั้น ตำรวจสืบสวนสังเกตเห็นว่า นักศึกษาสาวมีท่าทางหวาดระแวงใส่หูฟังเหมือนกับทำตามคำสั่งใครสักคนที่สั่งการจากปลายสาย ด้านตำรวจจึงชวนพูดคุยสอบถามสักพัก จนยอมวางมีดลง จากนั้น ตำรวจจึงขอให้ดึงหูฟังออก ปรากฏว่า นักศึกษาสาวกลับได้สติขึ้นมาว่า ชายที่สั่งการทางโทรศัพท์ไม่ใช่ตำรวจจริง เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สั่งให้มาป่วนตำรวจ เนื่องจากไม่มีเงินโอนให้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตำรวจจึงตรวจสอบพบว่า ในวันเดียวกัน […]

ข่าวแนะนำ

ลอบวางระเบิด 2 จุด กลางตลาดโต้รุ่งเมืองปัตตานี

ปัตตานี 8 มิ.ย. – คนร้ายลอบวางระเบิดกลางตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี รถจักรยานยนต์เสียหาย 2 คัน เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต วันที่ 8 มิ.ย.68 เวลา 20.00 น. เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มจำนวน ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 2 ลูก โดยจุดแรก วางระเบิดในถังขยะ หน้าร้านทอง บริเวณตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย จำนวน 2 คัน และจุดที่ 2 วางระเบิดในถังขยะ บริเวณในซอยข้างโรงแรม หลังตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต การก่อเหตุครั้งนี้ คาดว่าเป็นการก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลข่าวสารที่หน่วย ส.จว.ปัตตานี ได้ออกข่าวแจ้งเตือนไปแล้ว เมื่อวันที่ 26 พ.ค.68 เวลา 15.00 น. ปรากฏข่าวสารว่า นายมะกอเซ็ง หม้าแอ สมาชิก ผกร.ระดับปฏิบัติการ และสมาชิกจำนวน […]

นายกฯ เผยหารือกัมพูชา ตกลงปรับกำลังทหารทั้ง 2 ฝ่าย ลดเผชิญหน้า

ทำเนียบรัฐบาล 8 มิ.ย. – นายกฯ เผยหารือกับรัฐบาลกัมพูชา ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดการเผชิญหน้า เดินหน้าใช้กลไก JBC 14 มิ.ย.นี้ นำพาความสัมพันธ์เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ความพยายามคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดน โดยการปฏิบัติงานของทั้งระดับนโยบาย โดยรัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับค่ะ ดิฉันได้หารือกับรัฐบาลกัมพูชา มีข้อสรุปที่ส่งผลดีต่อสถานการณ์ โดยทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร ณ จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดบรรยากาศการเผชิญหน้า และจะพัฒนาความร่วมมือโดยใช้กลไก JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ และจะมีการพูดคุยกันในทุกระดับ เพื่อนำพาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วค่ะ ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามสถานการณ์และข้อเท็จจริงจากรัฐบาล พร้อมทั้งเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานจนประสบผลสำเร็จต่อไป สุดท้ายนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนได้โปรดคลายความกังวล และมีความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลว่า จะไม่มีเหตุกระทบกระทั่งที่รุนแรงเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ.-316-สำนักข่าวไทย

โฆษก ทบ. ยันทหารกัมพูชายอมถอนกำลัง-กลบคูเลต ลดตึงเครียด

8 มิ.ย. – โฆษก ทบ. ยืนยันทหารกัมพูชายอมถอนกำลังกลับไปอยู่จุดเดิม พร้อมกลบคูเลตให้คืนสู่สภาพเดิม หลังบรรลุข้อตกลงการหารือ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก ลดความตึงเครียด วันนี้ (8 มิ.ย.68)​ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชา นำโดย พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้เชิญฝ่ายทหารไทย โดย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับกรณีปัญหาการรุกล้ำดินแดนในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก จากการหารือเบื้องต้น ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญ คือ ฝ่ายทหารกัมพูชายินยอมถอนกำลังกลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุปะทะ หรือแนวต้นพญาสัตบรรณ ลึกเข้าไปในเขตแดนของประเทศกัมพูชา จุดดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาเคยใช้เป็นแนววางกำลังฐานมาโดยตลอดในอดีต นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังแสดงความยินยอมที่จะดำเนินการกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเป็นการลดความตึงเครียด และสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ภายหลังจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันที่จะใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เป็นช่องทางในการหารือแนวทางบริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป.-313-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 สั่งกองกำลังสุรนารี ปรับเวลาเปิด-ปิด จุดผ่านแดนกัมพูชา 

8 มิ.ย.- เกาะติดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แม่ทัพภาค 2 ลงนามคำสั่งให้อำนาจผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พิจารณาปรับเวลาเปิด-ปิด ด่านถาวรและจุดผ่อนปรนการค้า 4 ด่าน มีผลทันทีเมื่อคืนนี้ กองทัพภาคที่ 2 ออกหนังสือคำสั่ง การควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี ตามคำสั่งกองทัพบก เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ให้กองทัพภาคที่ 2 โดยกองกำลังกำลังสุรนารีมีอำนาจการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี วิธีการและเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา ที่จำเป็นเหมาะสม ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี ดังนี้